วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2553

ทุกชีวิตปลอดภัยในวอลโว่

ที่จั่วหัวตั้งชื่อเรื่องแบบนี้ก็เพราะ เห็นรถวอลโวทีไรคำโฆษณาเก่าๆที่ยังจำได้ไม่ลืมก็คือคำว่า "ทุกชีวิตปลอดภัยในวอลโว่"นั่นเป็นเพราะยนตรกรรมของค่ายนี้เขาไม่เน้นที่รูปลักษณ์ภายนอกมากนัก แต่กลับให้ความสำคัญกับโครงสร้างที่แข็งแรงปลอดภัยต่อผู้ใช้อย่างสูงสุด ดังนั้นเราจึงมักจะเห็นว่ารถยนต์ยี่ห้อนี้จะมีกลุ่มลูกค้าที่เป็นเป้าหมายเฉพาะส่วนใหญ่จะเป็นนักธุรกิจ หรืิอข้าราชการระดับสูง แต่สำหรับผู้สนใจรถมือสองอย่างเราๆท่านๆ คงไม่จำเป็นต้องเป็นกลุ่มนั้น เพราะรถยุโรปที่ถอยจากห้างมัมีราคาเกินเอื้อมสำหรับคนหาเช้ากินค่ำ แต่หากรักจริงก็อดใจรอไม่นานนางฟ้าก็ตกสวรรค์เพราะพอมีรุ่นใหม่ออกมารุ่นเก่าก็จะถูกทะยอยเข้าเต็นท์ให้ผู้นิยมรถสัญชาติยุโรป ไปจับจองกัน และวันนี้ก็จะมาพาท่านไปรู้จักกับ Volvo 940 ครับ รถรุ่นนี้เป็นที่นิยมในหมู่นักบริหารรุ่นใหม่ ที่เน้นความสะดวกสบาย ความปลอดภัย ด้วยรูปทรงที่เน้นเหลี่ยม ตัวถังขนาดใหญ่ใช้เหล็กคุณภาพเยี่ยมในการประกอบ เรื่องความหรูหราไม่เป็นรองรถจากเยอรมัน เริ่มทำตลาดรถยนต์ระดับหรูเมืองไทยครั้งแรกในปี 1991 ช่วงแรกแบ่งเป็น 2 รุ่น คือ GL และ GLT รูปลักษณ์ภายนอกแม้เริ่มมีส่วนโค้งบ้างแล้ว แต่โดยรวมก็ยังเน้นความเป็นเหลี่ยมสันอยู่มาก โดยเฉพาะชุดไฟหน้าและกระจังทรง 4 เหลี่ยมผืนผ้า ฝากระโปรงหลังเปิดได้ถึงแนวกันชน ไฟท้ายแบบ 3 ชั้นขนาดใหญ่ ตรงกลางเป็นที่ติดป้ายทะเบียน



รุ่น GL ใช้ เครื่องยนต์รหัส B 230 GS แบบเบนซิน 4 สูบเรียง วางตามยาว แคมชาฟต์เดี่ยว 8 วาล์ว จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดแอล-เอช เจทรอนิกส์ ความกว้างกระบอกสูบ 96 มิลลิเมตร ช่วงชัก 80 มิลลิเมตร ความจุ 2,317 ซีซี อัตราส่วนการอัด 9.3 : 1 กำลังสูงสุด 96 กิโลวัตต์ หรือ 130 แรงม้า (PS DIN) ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 18.9 กก.-ม. ที่ 2,950 รอบ/นาที เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ หรืออัตโนมัติ 4 จังหวะ เบาะผ้าปรับด้วยมือ

รุ่น GLT (รหัส ตัว T ไม่ใช่เทอร์โบแบบยี่ห้ออื่นๆ)ใช้เครื่องยนต์รหัส B 234 GS เสื้อสูบเดียวกัน แต่เปลี่ยนฝาสูบเป็นแบบทวินแคม 16 วาล์ว เพิ่มอัตราส่วนการอัดเป็น 10.0 : 1 ให้กำลังสูงสุดเพิ่มขึ้นเป็น 114 กิโลวัตต์ หรือ 155 แรงม้า (PS DIN) ที่ 5,700 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 20.7 กก.-ม. ที่ 4,450 รอบ/นาที มีเฉพาะเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ เบาหนังแท้ปรับด้วยไฟฟ้าพร้อมความจำ 3 ตำแหน่ง

ทั้งสองรุ่นใช้ ระบบบังคับเลี้ยวแบบแร็กแอนด์พิเนียนพร้อมเพาเวอร์ ระบบช่วงล่างหน้าแบบสปริงสตรัต ด้านหลังคานแข็งพร้อมระบบวอลโว่ เอ-ซับเฟรม ล้อแม็กขนาด 6 X 15 นิ้ว ยางขนาด 195/65R15 ระบบเบรกแบบดิสก์ 4 ล้อ มีเอบีเอส เฉพาะรุ่น GLT

จากนั้นในปี 1993 วอลโว่ได้ติดตั้งอุปกรณ์บำบัดไอเสีย แคตาลิติก คอนเวอร์เตอร์ และแลมดา ซอนด์ ให้กับ 940 ทุกรุ่น ช่วยให้การเผาไหม้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ลดมลพิษในไอเสีย โดยเครื่องยนต์ยังคงประสิทธิภาพเท่าเดิม เปลี่ยนรหัสเครื่องยนต์เป็น B 230 FS 2 (จากเดิม B 230 GS) มีแรงม้าและแรงบิดเท่าเดิม ที่รอบเครื่องยนต์เดิม ใช้กับรุ่น GL ที่ทำตลาดอยู่แล้ว และรุ่น GLE กับ ESTATE ที่เพิ่มขึ้นมาใหม่ เปิดตัวเพื่อแทรกระหว่าง GLT กับ GL ภายในตกแต่งด้วยหนังแท้ เบาะปรับไฟฟ้าพร้อมความจำ 3 ตำแหน่ง ส่วน ESTATE เน้นการใช้งานที่อเนกประสงค์ เบาะหลังสามารถพับได้ ช่วงล่างหลังเพิ่มระบบปรับระดับอัตโนมัติ ตามน้ำหนักบรรทุก ใช้ยางขนาด 195/65R15 ทุกรุ่นมีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะหรืออัตโนมัติ 4 จังหวะ ยกเว้น GLT และ ESTATE มีเฉพาะเกียร์อัตโนมัติ

GLT เปลี่ยนเครื่องยนต์เป็นรหัส B 230 FT เบนซิน 4 สูบ แคมชาฟต์เดี่ยว 8 วาล์ว เทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ อัตราส่วนการอัด 8.7 : 1 กำลังสูงสุด 136 กิโลวัตต์ หรือ 185 แรงม้า (PS DIN) ที่ 4,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 27 กก.-ม. ที่ 3,450 รอบ/นาที เปลี่ยนล้อแม็กเป็นขนาด 7 x 15 นิ้ว ยางขนาด 205/60R15 GL เปลี่ยนยางเป็นขนาด 195/60R15

ทั้ง 4 รุ่นทำตลาดต่อเนื่องมาอีกประมาณ 2 ปี ก็เพิ่มรุ่น SE ประมาณปี 1995 ใช้เครื่องยนต์รหัส B 230 FT 2 เทอร์โบบูสต์ต่ำหรือ LOW PRESSURE TURBO กำลังสูงสุด 99 กิโลวัตต์ หรือ 135 แรงม้า (PS DIN) ที่ 4,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 23.43 กก.-ม. ที่ 2,280 รอบ/นาที มีทั้งเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะหรืออัตโนมัติ 4 จังหวะ ภายในตกแต่งด้วยกำมะหยี่ เพิ่มความปลอดภัยด้วยแอร์แบ็กฝั่งผู้ขับ ประมาณกลางปี 1996 ก็เพิ่มรุ่น CLASSIC ใช้เครื่องยนต์บล็อกเดียวกับ SE ภายในมีให้เลือกทั้งเบาะผ้าหรือหนังแท้ ภายนอกเปลี่ยนล้อแม็กเป็นขนาด 6.5 x 16 นิ้ว ยางขนาด 205/55R16 จำหน่ายจนถึงช่วงปลายอายุตลาด

จุดเด่นของรถยนต์รุ่นนี้อยู่ที่ราคา มือสอง ซึ่งถูกกว่าคู่แข่งในระดับเดียวกันอย่างเบนซ์ อี-คลาส ดับเบิลยู124 และบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 5 อี34 เป็นแสนบาท ทั้งที่ตอนเป็นป้ายแดงก็มีราคาต่างกันไม่มาก ภายในกว้างขวางด้วยฐานล้อยาวและหลังคาทรงสูง ด้านหลังนั่งได้ 3 คนแบบหลวมๆ ช่วงล่างปานกลางเน้นความนุ่มนวล สอดคล้องกับเครื่องยนต์ที่ไม่จัดจ้านเหมาะสำหรับคนเท้าไม่หนัก ก่อนซื้อจึงควรทดลองขับนานๆ เพื่อดูว่าพอใจในสมรรถนะของเครื่องยนต์ ในด้านอัตราเร่งหรือไม่ เพราะถ้าซื้อมาแล้วจะเพิ่มกำลังภายหลัง ก็แทบจะไม่มีวิธีที่คุ้มค่าเลย แต่ถ้าเท้าขวาหนัก แนะนำให้เลือกรุ่นเทอร์โบ เกียร์อัตโนมัติ ปีใหม่สุดเท่าที่มีงบประมาณ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการกินน้ำมันมากนัก เพราะต่างกันไม่มากนัก ยังไงก็กินจุพอๆ กันทุกรุ่นเครื่องยนต์ โดยเฉพาะถ้าใช้งานวันละไม่กี่สิบกิโลเมตร และราคาก็ไม่ได้แพงกว่ารุ่นไม่มีเทอร์โบมากนัก

จุดด้อยของรุ่นนี้ อัตราการกินน้ำมันที่สูงราวๆ 5-6 กม./ล.ในเมือง นอกเมืองราวๆ 9 กม./ล. พละกำลังที่ได้มาไม่ค่อยสมกับน้ำมันที่กินไปสักเท่าไร รูปทรงเหลี่ยมๆที่ดู เหมาะกับคนมีอายุมากสักหน่อยแล้วแต่คนชอบ สมรรถนะด้านอัตราเร่งที่ไม่หวือหวา รวมทั้งราคาอะไหล่ที่อาจแพงในบางชิ้น แต่ก็มีครบ แหล่งอะไหล่มี 2 ทางเลือกหลัก คือ อะไหล่ใหม่จากศูนย์บริการ มั่นใจได้ในคุณภาพและมีการรับประกัน แต่ก็มีราคาแพง อีกทางเลือกที่คนส่วนใหญ่เลือก เพราะปัจจุบันรถยนต์รุ่นนี้ก็เก่าพอสมควรแล้ว จึงมักจะซ่อมตามอู่ทั่วไป คือ อะไหล่ใหม่นอกศูนย์ฯ ส่วนแหล่งใหญ่อยู่แถววรจักร มีครบ แต่แพงในบางชิ้น นอกนั้นก็กระจายไปทั่วกรุงเทพ เช่น สะพานควาย ส่วนอะไหล่มือสองหายาก การซ่อมบำรุง ถ้าไม่ใช่ระบบที่ซับซ้อน ก็สามารถใช้บริการตามอู่ทั่วไปได้ไม่จำเป็นต้องเข้าศูนย์ฯ หรืออู่วอลโว่โดยเฉพาะเสมอไป จะช่วยประหยัดเงินได้ เกียร์อัตโนมัติควรจะดูแลอย่างดี เวลาเลือกต้องทดสอบว่ายังทำงานได้ปกติ เพราะค่าซ่อมแพงมาก

สรุปคือ วอลโว่ 940 ราคาไม่แพง ภายในกว้างขวาง ทนทาน แข็งแรงดี ช่วงล่างพอใช้ได้ และเบรกดี อะไหล่มีครบ แต่แพงในบางชิ้น รูปลักษณ์ไม่โฉบเฉี่ยว สมรรถนะไม่อืด ถ้าเท้าไม่หนัก และชอบความหรูหราในราคาไม่แพง ก็พอซื้อได้ เพราะราคาไม่แพง ในรุ่นแรกๆ ปี 1991-1992 เริ่มต้นที่ 3 แสนกว่าบาทเท่านั้นเอง

วันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Mercedes-Benz W124 รถดีที่น่าใช้

Mercedes-Benz W124 รถดีที่น่าใช้ สไตล์ยุโรป แต่ราคาในปัจจุบันใกล้เคียงกับรถญี่ปุ่น ในรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่สิ่งที่เหนือกว่าคือความทนทานแข็งแรง ปลอดภัยและหรูหราตามมาตรฐานรถยุโรป นี่คือกำไร หากหาซื้อได้มาแบบต่อมือไม่ผ่านเต็นท์จะยิ่งถูกกว่า ตาถึงๆ จะได้ของดีอายุไม่มาก ลงทุนเพิ่มเติมในการเก็บตกจุดบกพร่องอีกเล็กน้อย รับรองว่าใช้จนลืม แถมไม่ต้องกังวลเรื่องอะหลั่ยและราคาซ่อม เพราะอะหลั่ยหาได้ง่ายราคาไม่แพงอย่างที่คิด แถมอู่ซ่อมหาไม่ยาก ค่าซ่อมไม่แพงเพราะซ่อมง่ายจ่ายน้อยไม่จุกจิก แต่ก่อนที่จะซื้อ Mercedes-Benz W124 ตัวนี้ควรทำความรู้จัก พื้นเพความเป็นมาสักเล็กน้อยพอเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจเลือกหา จะได้เลือกได้ไม่ผิดพลาดซึ่งการซื้อรถมือสองทางที่ดี ควรมีความรู้เรื่องรถไว้บ้างพอสมควร เมื่อตัดสินใจซื้อแล้ว ควรมีเงินเหลือไว่เพื่อวางแผนปรับปรุงสมรรถนะไว้ด้วย จะได้ทำทีเดียวตั้งแต่ซื้อ จากนั้นเวลาใช้จริงๆจะได้ไม่ต้องขับไปซ่อมไป

Mercedes-Benz W124 รถมือสองที่น่าใช้มากในงบ 4-8 แสน เพราะว่า เป็นรถที่หรูหราและยังไม่ตกยุค แถม ราคาไม่แพงแล้ว ช่วงล่างดีเกาะถนน อะไหล่ถูกซ่อมง่าย มีความปลอดภัยสูงกว่ารถญี่ปุ่น ขับง่ายวงเลี้ยวแคบ สามารถวางเครื่องได้หลายรุ่น แต่งสวยหรูหรือแต่งแรงก็ได้ จุดสังเกตสำหรับตอนเลือกซื้อ เอาประกอบนอกกับในก่อนนะครับ ถ้ารถประกอบใน จะมีเพลสที่คานหน้าครับ และจะมีตอกลำดับคันที่เท่าไหร่เอาไว้บนคานเป็นตัวเลขครับ ส่วนไมล์รถ จะเป็นเลขหลักกิโลเมตร (KM/h)ถ้ารถประกอบนอก จะไม่มีเพลสอยู่บนคาน เรือนไมล์จะเป็นหลักไมล์ (M/h) และสำหรับวิธีดูโค๊ดตัวถังสามารถบอกได้ มี 2 แบบคือ...รถนอก กับ รถในประเทศ เช่น Plate ของรถนอกจะมีออฟชั่น Code และเบอร์สี เมื่อดูเบอร์สีก็จะรู้ว่ารถคันดังกล่าวเปลี่ยนสีมาหรือเปล่า.....วิธี รหัสเลขตัวถังและความหมายของตัวเลข เช่น เลขตัวถัง 124 043 2 A 963700.....
- เลข 124 คือ เลขรหัสตัวถัง W124
-เลข 043 คือ 4ประตู เครื่อง 2300cc.(ของคุณ 030 = เครื่อง 3000cc.)- เลข 2 คือ พวงมาลัยขวา ประกอบ เยอรมัน (ถ้าเลข 1 คือ พวงมาลัยซ้าย ประกอบ เยอรมัน)(ถ้าเลข 5 คือ พวงมาลัยซ้าย ประกอบนอกเยอรมัน)
- A คือ โรงงานที่ผลิต แต่บางรุ่นบอก Option เช่น A = ไม่มีกาบ B = มีกาบ C = E หน้าแท้ หรือ ที่เรียกว่า FACE LIFT ส่วนเลขที่เหลือ คือ 963700 เป็นลำดับในการผลิต

เพิ่มเติม
สำหรับรถประกอบในประเทศ ก็จะมีเพียง Pate สีดำ บอกเลขแชสซีเท่านั้น และ มีตราปั๊มตรงคานให้เห็นว่าผลิตคันที่เท่าไหร่ในสายการผลิตครับขอบอกไว้ก่อนว่าซื้อรถมีสองต้องทำใจเรื่องซ่อม แต่รุ่นนี้ถ้าซื้อมาแล้วเปลี่ยนเครื่อง ก็ไม่มีอะไรที่จะซ่อมแพงแล้วครับ ช่วงล่างทน ตัวถังดีก็จบ สำหรับเครื่อง มีให้วางได้หลายรุ่น แต่ที่วางกันส่วนใหญ่ก็ตระกูล J หลักก็ GE กับ GTE

SPEC 1JZ-GE
เครื่องยนต์ 1JZ-GE(ต่ำกว่าปี 96)แบบ DOHC 6 สูบแถวเรียง ความจุกระบอกสูบ 2491 cc. แรงม้า (PS/RPM) 180/6000 แรงบิด (KG-M/RPM) 24.0/4800 ความกว้าง x ช่วงชัก 86.0 x 71.5
กำลังอัด 8:1 ระบบส่งกำลัง(เกียร์) 4 A/T อัตราเฟืองท้าย 4.300

SPEC 1JZ-GE
เครื่องยนต์ 1JZ-GE (ปี 96 ขึ้นไป) แบบ DOHC 6 สูบแถวเรียง ความจุกระบอกสูบ 2491 cc.
แรงม้า (PS/ RPM) 200/6000 แรงบิด (KG-M/RPM) 26.0/4800
เครื่อง 2JZ-GE ปี95
เครื่องยนต์ 2JZ-GE แบบ DOHC 6 สูบแถวเรียง ความจุกระบอกสูบ 2997 cc แรงม้า(PS/RPM) 220/5600 แรงบิด (KG-M/RPM) 30/4000 ความกว้าง x ช่วงชัก 86.0 x 86.0 กำลังอัด 10:5:1
ระบบส่ง(เกียร์) 5 A/T อัตราเฟืองท้าย 3.909
SPEC 1JZ-GTE
เครื่องยนต์ 1JZ-GTE (ต่ำกว่าปี 95) แบบ DOHC 6 สูบแถวเรียง ความจุกระบอกสูบ 2491 cc
แรงม้า(PS/RPM) 280/6200 แรงบิด (KG-M/RPM) 37.0/4800 กำลังอัด 8.5:1 ระบบส่ง(เกียร์) 4A/T อัตราเฟื่องท้าย 4.3


เครื่อง 2JZ-GTE
เครื่องยนต์ 2 JZ-GTE แบบ DOHC 6 สูบแถวเรียง ความจุกระบอกสูบ 2997 cc แรงม้า(PS/ RPM) 280/5800 แรงบิด (KG-M/RPM) 46.0/3600 ความกว้าง x ช่วงชัก 86.0 x 86.0 กำลังอัด 8:5:1
ระบบส่ง(เกียร์) 6 M/T, 4 A/T อัตราเฟืองท้าย 3.769
แรงเลือกตามการใช้งานและงบประมาณครับ เท่าที่ลองขับมาถ้าวายริ่งครบๆเฟืองท้ายตามที่บอก ในเมือง 7-9 กม./ลิตร นอกเมือง 10-14กม./ลิตร ใช้งานปกติ แต่ถ้ากดมากๆ GE จะประหยัดกว่า แต่ไม่สะใจเท่า GTE

ข้อดี
1.ขับดูหรูหรา ปลอดภัย นั่งสบาย ดีกว่าญี่ปุ่นป้ายแดงราคาเท่ากันเยอะ
2.ช่วงล่างดี นุ่มเกาะถนน ขับง่ายวงเลี้ยวแคบมาก ทนทานซ่อมถูก
3.ถ้าเปลี่ยนเครื่องแล้วใช้งานสบายมาก อัตราเร่งดี ประหยัดน้ำมัน ทนทานขายต่อง่ายกว่ายังไม่เปลี่ยนเครื่อง ใช้งบวางเครื่องตั้งแต่ 4หมื่นขึ้นเอง
4.อะไหล่เพียบใหม่เก่า แท้เทียมเลือกได้สบายๆตามงบเลย
5.รูปทรงนี้ยังดูดีได้อยู่อีกไม่น้อย กว่า 5 ปีแน่นอน
6.แต่งขึ้นอุปกรณ์ที่มีให้ก็เพียบๆๆ ญี่ปุ่นป้ายแดงบ้างคันยังไม่มีด้วย
7.หารถง่ายมีเยอะเลย
8.เวลาแต่งซิ่งๆไม่เป็นรถที่ตำรวจจะ เรียกสักเท่าไร

ข้อเสีย
1.เต็นท์ขายแพง แต่ซื้อถูกกว่ารถญี่ปุ่น ต้องซื้อขายไม่ผ่านเต็นท์จะดี
2.เครื่องเดิม จะเสียค่าซ่อมแอร์แพงนิดหน่อย
3.รถแปลงรุ่นมากต้องดูดีๆ ลองสังเกตตามที่แนะนำข้างต้น นอกจากนี้ยังมีจุดสังเกตอื่นๆ อีกเยอะครับ
4.รุ่นแรกๆจะเก่าหน่อย อาจจะต้องใช้งบประมาณซ่อมทำเยอะแต่ซื้อได้ถูกมาก 3 แสนก็มี

สรุป
W124 นี้ เป็นรถที่น่าใช้มากรุ่นหนึ่งสำหรับมือสอง ซ่อมไม่แพง นั่งสบาย ประหยัดนำมัน ขับง่ายช่วงล่างดี วงเลี้ยวแคบจอดง่าย ทนทานสุดๆ มีมาตรฐานความความปลอดภัยสูง หรูหราเป็นที่ยอมรับในสังคม แต่งซิ่งก็ดีใช้งานธรรมดาก็สบายๆ ราคาถูก หากท่านที่คิดจะซื้อรถก็ลอง วิเคราะห์ดูนะครับ ว่าจะคุ้มเงินอย่างที่บอกไหม

วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

SUNNY SUPER SALOON ทน น่าใช้ อะหลั่ยถูก

SUNNY SUPER SALOON รถครอบครัวขนาดเล็กที่ น่าใช้เพราะมีอะหลั่ยให้เลือกมากมายในทั้งในตลาดเซียงกงและของแท้จากโรงงาน หากต้องเข้าร้านซ่อมเมื่อไหร่ก็ยังอุ่นใจ สบายกระเป๋า เพราะอะหลั่ยถูกหาได้ง่าย ช่างซ่อมง่าย เหมาะสำหรับมือใหม่ที่รายได้น้อย ไว้ใช้ในครอบครัว และขับไปทำงาน รูปลักษณ์ยังทันสมัย ไม่ถึงกับหรูหราแต่ก็ใช้ได้ไม่อายใคร หากนำมาปรับแต่งดีๆ ใช้ได้อีกนาน.. จัดว่าเป็นรถเล็กที่โรงงานตกแต่งมาไม่น้อย ดังนั้นทางสยามกลการจึงกล้าพะท้ายด้วยคำว่า SALOON ที่บ่งบอกถึงการตกแต่ง ไม่ใช่สมรรถนะอย่างที่เราคิดกัน

SUNNY คันนี้ จัดว่าแรงพอสมควร กับน้ำหนักตัวถัง 1,050 กิโลกรัม แต่มีกำลังขับ 110 แรงม้า หากนำเอาน้ำหนักรถมาเทียบกับแรงม้าจะตกแถว ๆ 10 กิโลกรัม /แรงม้า อัตราในเกณฑ์นี้นักเลงรถถือว่าใช้ได้เลย
สมรรถนะอยูในระดับเดียวกับรถสปอร์ต ซึ่งความจริง SUNNY แค่ 1600 ซี.ซี. สามารถลุยได้สุดคันเร่งกว่า 170 กม/ชม.สำหรับใช้เดินทางไกล ทำเวลา หรือใช้แซงที่ 90-130 กม./ชม กระฉับกระเฉงมาก เพราะอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม ทำได้เพียง 12.2 วินาที ในรุ่น 4 AUTO และต่ำกว่า 12 วินาที ในรุ่น 5 เกียร์ธรรมดา
แล้วเชื่อไหมว่าใน รุ่น SUNNY รุ่นก่อนที่ใส่คาร์บูเรเตอร์นั้น บางคันทำเวลาต่ำกว่า 11 วินาที และเกียร์ 5 ใกล้ 180 กม./ชม เพราะรอบเครื่องยนต์ไม่ถูกตัดอย่างใน SUPER SALOON ที่ใช้หัวฉีดจ่ายเชื้อเพลิง แต่ในระบบคาร์บูเรเตอร์นั้น หมดคันเร่งคือหมดแรงซึ่งลากได้ทุกเกียร์ที่ 7000 กว่ารอบได้สบาย แค่เกียร์ 2 ทะลุ 100 กม./ชม. ได้แล้ว ที่เหลืออีก 3 เกียร์ล่ะ ทั้งนี้ต้องยกให้กับ เครื่องยนต์รุ่น GA 16 DE ซึ่งเป็นเครื่องยนต์แบบ DOHC แท้ แตกต่างจากเครื่อง 4A FE ของโตโยต้า เหนือกว่าเครื่อง CIVIC 1600 ที่เป็นแบบ SOHC เครื่องยนต์ SUNNY ตัวนี้ถือว่าเป็นตัวยืนของ NISSAN ขนาดเล็กต่ำกว่า 1600 ซี.ซี. เพราะเกินจากนี้ NISSAN จะใส่เครื่อง SR-SERIES ที่เริ่มที่ 1.8-2.0 ลิตร ถือว่าเป็นเครื่องคุณภาพเครื่องหนึ่ง ที่ยังไม่มีเครื่องเรียง 4 สูบ ของค่ายใดในญี่ปุ่นเทียบได้ เพราะทำจาก อะลูมิเนียมทั้งหมดทนจัด โมดิฟายได้ถึง 240 แรงม้า (รุ่น 180 ใน ALMERA เป็นเครื่อง GA18 ที่โมดิฟายจาก GA16 เพราะต้องการใช้อะไหล่ร่วมกันไม่ใช่เครื่องยนต์เรียง 4 สูบ เสื้อสูบ เป็นเหล็กหล่อ จัดว่าทนทานพอจะใช้ได้เกิน 300,000 กม.แน่นอน
ถ้าท่านใดที่หามาได้ แล้วเจ้าของเดิมใช้วิ่งไม่เกิน 150,000 กม.ก็ลงทุนเพิ่มนิดหน่อยโดยการเปลี่ยนแหวนชุดใหม่ซักชุดเพื่ออัพให้เครื่องสมบูรณ์และฟิตมากขึ้น เพื่อแลกกับอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้นด้วยเช่นกัน แม้ว่าจะไม่ถูกกว่าเปลี่ยนเครื่องมือสองแต่ได้อะไหล่ใหม่มั่นใจได้ หรือได้สภาพแถว 120,000-150,000 ก็เปิดฝาบดวาล์วก็พอ ทั้งนี้ เครื่องสูบตัวนี้ทน แกร่งมีจุดอ่อนตรงตาน้ำข้างเสื้อสูบผุเท่านั้น พึงระวังน้ำหล่อเย็นหายโดยหาสาเหตุไม่พบจากจุดนี้ ส่วนฝาสูบนั้นเป็น DOHC เพลาราวลิ้นคู่แท้ แยกทำงานกดโดยตรงผ่านชิมไอดี-ไอเสีย ซึ่งต้องปรับตั้งทุก 80,000-100,000 กม. และเช็กทุก 50,000 กม.ถือว่าเป็นจุดอ่อนที่ต้องดูแล มิฉะนั้นวาล์วยันเครื่องร้อนหายได้เช่นกัน เพลาราวลิ้นของ GA16 จะหมุนด้วยโซ่ในระบบ 2 ตอน ทำให้โซ่มีขนาดสั้นและเล็ก เสียงจึงเงียบและทนกว่าสายพานถึง 1 เท่าตัวบางคันที่ 200,000 กม. ก็ไม่ดัง แต่ควรเปลี่ยนโซ่ที่ 200,000 กม. เพื่อใช้สบายใจอีก 200,000 กม.

อย่างไร ก็ตาม ฝาสูบตัวนี้ค่อนข้างเปราะ คือ ร้าวง่ายถ้าร้อนจัด ขาดน้ำจะถือว่าเป็นจุดอ่อนก็พอได้ แต่การเกิดก็ยากมาก ถ้าไม่กล้าเกินไปที่จะขับทั้ง ๆที่พัดลมไฟฟ้าไม่ทำงาน หรือเกจวัดความร้อนเกิน 90 องศา หรือ 3 ใน 4 ของเกจวัดนานผิดปรกติ เพราะถ้าเข็มชี้ที่ขีด H เป็นต้องจอด ถ้าขืนขับต่อฝาโก่งฝาร้าวได้ แต่ถ้าความร้อนผ่านเกิน 1 ใน 2 นิด ๆ ละก็ มั่นใจได้ว่าไปได้อีกไกล..เชียวล่ะ

ด้านสมรรถนะนั้น ม้าของ SUNNY ดีตรงค่าอัตราสิ้นเปลืองไม่หวือหวานัก มีค่าวิ่งในเมืองย่าน 6.5-10.5 กม./ลิตร ใช้ทางไกล 9.8-16 กม./ลิตร ทั้งนี้มาจากการเลือกอัตราทดเกียร์ที่ไม่ต้องใช้รอบจัดอย่าง CIVIC ทำให้ค่าสิ้นเปลืองไม่ผกผันมาก จึงขับสบายกระเป๋ากว่า ซึ่งทำให้เป็นจุด หนึ่งที่นักเลงรถอาจไม่ชอบ SUNNY เพราะวิ่งสู้ CIVIC และดีทั้ง 4 AUTO และ 5 เกียร์ธรรมดา ซึ่งก็จัดว่าไร้ปัญหา มีความทนทานมาก ของเก่ามือสองก็ถูกจนใจหาย จึงไม่ต้องกังวลจุดนี้เท่ากับเพลาขับ ดังที่เฉลี่ยแถว 80,000 กม.
การขับขี่นั้นปรกติมี 110 กม/ชม.ลงมาสบายมือสบายใจ หรือกะขับไปเชียงใหม่ในเวลาเกิน 6 ชั่วโมงนิดหน่อยจากกรุงเทพ ฯ ก็ไม่ถึงกับเครียด ยกเว้นดวลกับรถขนาด 6 สูบ ที่เกิน 150 กม./ชม. อาจจะต้องระวัง
เพราะ ช่วงล่าง SUNNY ถูกสร้างมาให้ใช้ทน ดูแลง่ายค่าซ่อมถูกในแบบแม็กเฟอร์สันสตรัท ขับ 4 ล้อ เกาะกับปีกนกทรง A-ARM ทางด้านหน้า และคานแข็งทีล้อหลัง จัดเป็นช่วงล่างที่ห่างอู่ห่างร้านตั้งศูนย์ล้อและช่างทั้ง 2 อู่ก็ชอบคือ ปรับตั้งซ่อมง่ายมาก อะไหล่ก็ถูกทั้งแท้ เทียบ เทียม และของมือสองแค่ 25% ของของใหม่เท่านั้น ภายในนั่งได้ 2+3 ที่นั่งจริง ๆ สบายด้วย จึงอบอุ่นในแบบครอบครัวแท้จริงหากไม่มองรูปทรง ไม่คิดเรื่องขายต่อก่อน 2 ปี คันนี้แหละที่ขับแล้วตั้งตัวได้เชื่อหรือไม่

วันเสาร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2553

TOYOTA Corolla EE90/AE92

อะไหล่เพียบ เรียบๆ แต่ทนทาน

โตโยต้า โคโรลล่า ขับเคลื่อนล้อหน้ารุ่นที่ 2 เปิดตัวในเมืองไทยหวังกระตุ้นตลาดและก็กวาดยอดจำหน่ายไปเพียบ หลังจากรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้ารุ่นแรกทำตลาดได้ดีแค่พอสมควรต่างจากรุ่นขับ เคลื่อนล้อหลังรุ่นสุดท้ายในรหัสตัวถัง KE70ที่ทำตลาดได้ดีมากเปิดตัวในไทยครั้งแรกช่วงปี 1988 ตัวถังเป็นแบบซีดาน 4 ประตูล้วนๆโดยมีการเปลี่ยนโฉมจากรุ่นเดิมแบบไร้คราบ พลิกจากสันเหลี่ยมหน้าเท-ท้ายตัดมาสู่ความโค้งมนตลอดคัน

โดยในช่วงแรก แบ่งเป็น 2 รุ่นหลักตามบล็อกเครื่องยนต์ คือ เครื่องยนต์บล็อก Eในรหัสตัวถัง EE90 เป็นรุ่นประหยัด เครื่องยนต์ 2E 12 วาล์ว 1,300 ซีซีและใช้เครื่องยนต์บล็อก A ในรหัสตัวถัง AE92 เป็นรุ่นมาตรฐานใช้เครื่องยนต์ 4A-F ทวินแคม 16 วาล์ว 1,600 ซีซี คาร์บูเรเตอร์ นับเป็นรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์16 วาล์วรุ่นแรกของโคโรลล่าในเมืองไทย

ตลอดอายุตลาดไม่มีการปรับโฉม-ไมเนอร์เชนจ์ เลย แต่มีการเพิ่มรุ่นพิเศษGTI เครื่องยนต์ 4A-GE หัวฉีด 130.5 แรงม้า ที่ได้รับความนิยมในกลุ่มคนพันธุ์แรง และขึ้นชื่อว่าแรงที่สุดในโคโรลล่าในเมืองไทยมาจนถึงทุกวันนี้ และในช่วงหนึ่งก็มีการเสริมรุ่น SPORTYเครื่องยนต์ 4A-G 1,600 ซีซี คาร์บูเรเตอร์คู่ ออกมาเพียงไม่กี่คันเท่านั้น จนหลายคนไม่ทราบเลยว่าโคโรลล่าตัวถังนี้มีรุ่น SPORTY จำหน่ายด้วย

รุ่น 1,300 ซีซี รหัสตัวถัง EE90 แบ่งเป็น 2 รุ่นย่อย คือ XL และ GL ใช้เครื่องยนต์ 2E แบบเบนซิน 4 สูบ 1,300 ซีซี ซิงเกิลโอเวอร์เฮดเดอร์ แคมชาฟต์ 12 วาล์ว (3 วาล์ว/สูบ) คาร์บูเรเตอร์เดี่ยว ความกว้างกระบอกสูบ 73.0 มิลลิเมตรช่วงชัก 77.4 มิลลิเมตร ความจุกระบอกสูบ 1,295 ซีซี อัตราส่วนการอัด 9.0 : 1 กำลังสูงสุด 72 แรงม้า (PS) ที่ 6,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 10.3 กก.-ม. ที่ 4,200 รอบ/นาที

รุ่น 1,300 ซีซี ทั้ง 2 รุ่น ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา รุ่น XL เป็นแบบ 4 จังหวะน้ำหนักตัวรถ 910 กิโลกรัม รุ่น GL เป็นแบบ 5 จังหวะ น้ำหนักตัวรถ 925 กิโลกรัมใช้ยางขนาด 165 SR13

รุ่น 1,600 ซีซี รหัสตัวถัง AE92 มี 3 รุ่น โดยมี 1 รุ่นที่ทำตลาดหลัก คือ SE LIMITEDและอีก 2 รุ่นรองเป็นรุ่นพิเศษที่มียอดจำหน่ายไม่มากนัก คือ GTI ที่มีจำหน่ายมากพอสมควรและ SPORTY ที่ผลิตออกมาเป็นรุ่นพิเศษน้อยมาก

รุ่น 1,600 ซีซี รุ่นหลักที่มียอดจำหน่ายมากที่สุด SE LIMITED ใช้เครื่องยนต์รหัส 4A-F แบบเบนซิน 4 สูบ ทวินแคม 16 วาล์ว คาร์บูเรเตอร์เดี่ยว ความกว้างกระบอกสูบ 81.0 มิลลิเมตร ระยะช่วงชัก 77.0 มิลลิเมตร ความจุกระบอกสูบ 1,587 ซีซี อัตราส่วนการอัด 9.5 : 1 กำลังสูงสุด 94 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 13.0 กก.-ม. ที่ 4,200 รอบ/นาที แบ่งเป็น 2 รุ่น คือ เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ น้ำหนักตัวรถ 960 กิโลกรัมหรืออัตโนมัติ 4 จังหวะ น้ำหนักตัวรถ 995 กิโลกรัม ใช้ยางขนาด 175/70 SR13

รุ่นพิเศษ GTI มียอดจำหน่ายไม่มาก เพราะราคาแพงกว่ารุ่น SE LIMITED เกือบ 100,000 บาท หรือเกือบ 20% เป็นรุ่นที่มาแบบครบๆ นับเป็นจุดเริ่มต้นของเครื่องยนต์หัวฉีดของโคโรลล่าในไทย และเป็นโคโรลล่ารุ่นเดียวในไทยที่ใช้ระบบดิสก์เบรก 4 ล้อโดยใช้เครื่องยนต์รหัส 4A-GE หัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ EFI ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ TCCS มีอัตราส่วนการอัดเพิ่มเป็น 10.3 : 1มีกำลังสูงสุด 130.5 แรงม้า (PS) ที่ 7,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 14.8 กก.-ม.ที่ 6,000 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะน้ำหนักตัวรถ 1,023 กิโลกรัม ดิสก์เบรก 4 ล้อ ใช้ยางขนาด 185/60 HR14 ทั้งแรงทั้งเกาะถนนและเบรกดีกว่ารุ่น SE LIMITED เพียบ

ระบบพวงมาลัยเป็นแบบแร็กแอนด์พิเนียนทุกรุ่น และมีเพาเวอร์เฉพาะในรุ่น 1.6 ระบบช่วงล่างทั้งรุ่น 1.3 และ 1.6 เป็นแบบอิสระ แม็กเฟอร์สันสตรัต พร้อมเหล็กกันโคลง 4 ล้อ ระบบเบรกด้านหน้าเป็นแบบดิสก์พร้อมช่องระบายความร้อน ด้านหลังเป็นแบบดรัม ส่วนรุ่น GTI เป็นดิสก์เบรก 4 ล้อ

ภายนอกออกแบบเรียบง่าย ฝากระโปรงหน้าทรงเรียบขนานกับกระจังหน้าซี่นอน มุมกันชนหน้าติดตั้งไฟเลี้ยว ด้านข้างติดตั้งคิ้วยางกันกระแทกตลอดแนว (ยกเว้นรุ่น XL) ไฟท้ายรุ่น 1.3 XL และ GL เป็นแบบสั้น รุ่น SE LIMITED และ GTI เพิ่มทับทิมจรดป้ายทะเบียน ทุกรุ่นใช้กระทะล้อขนาด 13 นิ้ว รุ่น XL ให้ฝาครอบเฉพาะดุมกลาง รุ่น GL และ SE LIMITED ให้ฝาครอบแบบเต็ม ยกเว้นรุ่น GTI ใส่ล้อแม็กขนาด 14 นิ้ว

มิติตัวถัง ยาว 4,235 มิลลิเมตร กว้าง 1,655 มิลลิเมตร สูง 1,365 มิลลิเมตร ระยะห่างฐานล้อ 2,430 มิลลิเมตร

ถ้าสนใจจะซื้อโคโรลล่ารุ่นนี้ ควรตัดสินใจให้ดีว่า จะเลือกรุ่น 1.3 หรือ 1.6 ถ้าเลือกรุ่น 1.3 เพราะราคาถูกกว่ากันเล็กน้อยหรือคาดหวังด้านความประหยัด แล้วไม่พอใจกับกำลังเครื่องยนต์และต้องการเปลี่ยน หรืออยากเพิ่มอุปกรณ์ให้เหมือนรุ่น 1.6 กับเครื่องยนต์ 4A-GE 130-140 แรงม้า หรือหาวางเครื่องยนต์ 4A-F ได้ยาก เพราะในเชียงกงไม่ค่อยมี มักจะมีเครื่องยนต์ 5A-F 5A-FE 1,500 ซีซี หรือรุ่นพลังแรงอย่าง 4A-GE ไปเลย

เพราะนอกจากเครื่องยนต์ของรุ่น 1.3 กับ 1.6 ที่แตกต่างกันแล้ว อุปกรณ์อำนวยความสะดวก เช่น กระจกไฟฟ้า เซ็นทรัลล็อก พวงมาลัยเพาเวอร์ เบาะผ้า มีเฉพาะรุ่น 1.6 แบบครบๆ

จุดเด่นของรถยนต์รุ่นนี้ คือ อะไหล่ที่มีให้เลือกเพียบ ในสารพัดรูปแบบ แท้ เทียบ เทียม เก่าใหม่ ราคาไม่แพงและไม่เคยต้องควานหา อะไหล่เชียงกงก็เริ่มเหลือมากขึ้น ไร้กังวลเรื่องอะไหล่จะหาไม่ได้หรือแพงไปเลย

ความทนทาน ความไม่จุกจิก ก็เป็นอีกจุดเด่นที่สำคัญ เพราะไม่มีระบบอะไรสลับซับซ้อน และเท่าที่ดูจากแท็กซี มิเตอร์ ส่วนใหญ่ก็ผ่านระยะทาง 1 ล้านกิโลเมตรไปแล้วก็ยังขับกันอยู่

รูปลักษณ์ภายนอกที่เรียบง่าย ห้องโดยสารเพียงพอ สำหรับ 5 ที่นั่งแบบเบียดเล็กน้อย ระบบต่างๆ เป็นแบบพื้นฐาน มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์น้อย จึงดูแลรักษาง่ายและทนทาน

จุดด้อยที่พอมี คือ ราคาแพงกว่ารถยนต์ยี่ห้ออื่นในรุ่นปีเดียวกัน เช่น นิสสัน เซนทรา หรือซันนี แต่ก็นับว่าเป็นการแพงอย่างคุ้มค่า

ถ้าใช้จนเครื่องยนต์หมดอายุหรืออยากแรง ก็สามารถเปลี่ยนได้ด้วยเครื่องยนต์ตระกูล E หรือ A เหมือนเดิม โดยดัดแปลงไม่มาก มีความแรงให้เลือกตั้งแต่ 80-165 แรงม้า ด้วยเครื่องยนต ์สารพัดรุ่น เช่น 4E-FE, 4A-FE, 5A-FE, 4A-GE หรือข้ามมายังบล็อกใหม่ 4A-GE 20V ก็แรงจัดถึง 160-165 แรงม้า วางได้ไม่ยาก แม้จะต้องดัดแปลงในเครื่องยนต์บางบล็อก แต่ไม่ถึงกับหืดขึ้นคอแน่

จากกำลัง 72 แรงม้ากับตัวถังหนักประมาณ 1 ตัน จึงมีอัตราเร่งและความเร็วแบบไปได้แค่เรื่อยๆ ไม่ถึงกับอืดแต่ไม่หวือหวาแน่ ระบบช่วงล่างแบบอิสระ 4 ล้อ ให้ความนุ่มนวลที่ความเร็วต่ำ แต่เริ่มยวบยาบเมื่อใช้ความเร็วสูงถ้าสนใจรถยนต์รุ่นนี้ ควรเลือกรุ่นสูงสุดเท่าที่มีเงินพอ เพราะจะได้เครื่องยนต์ที่แรงกว่าและมีอุปกรณ์มาตรฐานแบบครบๆ

หากชอบความแรงต้องหาซื้อรุ่น GTI โดยต้องตรวจสอบตัวถัง ช่วงล่าง และเครื่องยนต์เป็นพิเศษ เพราะบางคันอาจช้ำมาก ตามสไตล์ของคนขับรถแรง และถ้าเป็นการใช้งานในเมืองอาจไม่สะดวกเพราะไม่มีเกียร์อัตโนมัติให้เลือก ใช้ และหาซื้อยาก เพราะรุ่น GTI มีจำนวนน้อย

โดยรวมแล้ว ถ้าไม่ได้อยากแรงจัดจ้านนัก รุ่น 1.6 SE LIMITED น่าสนใจที่สุด เพราะสมรรถนะพอใช้ได้ มีอุปกรณ์มาตรฐานครบครันกว่ารุ่น 1.3เพราะไม่ได้ต่างกันแค่เครื่องยนต์เท่านั้น

โตโยต้า โคโรลล่า อีอี90/เออี92 นับเป็นรถยนต์ขนาดกลาง ที่สบายใจเรื่องอะไหล่ และความทนทานได้มากที่สุดรุ่นหนึ่ง

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Frontier 3.0 ZDI กะบะสร้างตัว


หลายคนที่กำลังอยู่ในระหว่างการสร้างฐานะให้ครอบครัว กำลังคิดจะติดสินใจเลือกรถกะบะวักคันไว้ใช้เป็นเครื่องมือเำพื่อประกอบอาชีพสร้างรายได้ และหากต้องการ รถกระบะมือ 2 ที่ไม่เก่ามากราคาสบายๆลองมาดูรายละเอียดกันก่อนตัดสินใจ กับ นิสสันฟรอนเทีย 3.0 zdi กันครับเผื่อว่าท่านจะเปลี่ยนใจจากมือแรกราคาเหยียบล้าน (คิดรวมดอกเบี้ย) ต้องทำงานเลี้ยงดอกเบี้ยกันนานกว่าจะเป็นไท มาดูข้อมูลกันครับ

ภายนอก-ตัวถังใหญ่ จนเกือบดูเทอะทะ ด้อยไปนิดด้านความทันสมัยและความสวยงาม แต่หากเกิดอุบัติเหตุน่าจะได้เปรียบเรื่องความปลอดภัย ส่วนสูงพอๆกับรถ 4x4 ทำให้ต้านลมนิดหน่อย แต่ก็ดูไม่น่าเกลียดเกินไปน่าจะไปได้ดีกับถนนโลกพระจันทร์ของไทย


ภายใน
- สวยงาม ทำสีทูโทนที่คอนโซล วัสดุดูหรูเมื่อเทียบกับรถระดับเดียวกัน กว้าง ขวาง หากปรับเอนเบาะหน้าลง เอนได้จนเป็นแนวนอน เบาะนั่งสบายไม่ปวดหลังเวลาขับทางไกล บางคันจะมีเบาะหนังแท้มาให้ด้วย ลายไม้คอนโซลกลางและประตู 2ข้าง หน้าปัดขาว กลางคืนจะเรืองแสงสวยงาม มาตรวัดครบครัน มาตรวัดระยะทางรวมแบบดิจิตอล พวงมาลัยหุ้มหนังแท้(บางคัน)

เครื่องยนต์
- 3,000 ซีซี ทวินแคม 16 วาล์ว ไดเร็คอินเจ็คชั่น หัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ ควบคุมด้วย คอมพิวเตอร์ 16 บิท 105 แรงม้า แรงน้อยไปนิดหากเทียบกับยี่ห้ออื่น ออกตัวอืดๆตามประสารถดีเซลไม่มีเทอร์โบ ช่วงเกียร์ 3-4 พุ่งดี ขึ้นเขาขึ้นทางชันแรงดีไม่มีตก ความเร็วปลายได้แค่ 165 km/h อัตราการสิ้น เปลืองนอกเมืองทำได้ที่ 18 กม./ลิตร ที่ความเร็ว 80-90 กม./ชม.เปิดแอร์,15 กม./ลิตรในเมือง ก็ถือว่าประหยัดใช้ได้ น้ำมัน เครื่องเปลี่ยนทุกๆ10,000 กม.(ทุกเกรด ศูนย์ฯ บอกมา)ช่วยประหยัดเงินได้อีกทาง เครื่องมีเพลาบาลานซ์ช่วยลดการสั่นสะเทือนและลดเสียงของเครื่องยนต์ ใช้โซ่ขับเพลาแคมชาร์พไม่ต้องกังวลเรื่องสายพาน ทนทานจริงไม่เคยมีปัญหาจุกจิก

ช่วงล่าง
-หน้าแบบ ทอร์ชั่นบาร์(ปีกนก) ให้ความนุ่มนวล หลังแบบคานแข็ง แหนบ โดดหน่อยๆ หากบรรทุกเข้าไปจะพอดี หรือไม่ต้องการบรรทุกและอยากขับนิ่มๆถอดแหนบบรรทุกตัวล่างออกก็นิ่มใช้ได้ เลย การทรงตัวพอใช้ ขับออกต่างจังหวัดไม่โคลงเวลาแซงรถใหญ่ แต่เกาะถนนสู้ช่วงล่างแบบคอยล์สปริง ปีกนกไม่ได้ ระบบแบรค หน้าดิสก์ หลังดรัม พร้อมระบบปรับแรงดันอัตโนมัติเมื่อต้องการเบรคแบบกระทันหันหรือบรรทุกหนัก

ออฟชั่น

- แอร์ วิทยุ เทป พวงมาลัยเพาเวอร์ แม็ก15 นิ้ว กระจกมองข้างปรับไฟฟ้าพร้อมกรอบโครเมี่ยม กระจกหน้าต่างปรับไฟฟ้า ด้านคนขับขึ้นลงในสัมผัสเดียว พร้อมปุ่มล็อกกระจก ประตูด้านคนขับ เซ็นทัลล็อก กุญแจรีโมท ล็อกประตูอัตโนมัติเมื่อกดรีโมทแล้วไม่เปิดประตูภายในเวลา มือจับประตูด้านนอกโครเมี่ยม ไฟหน้าแบบมัลติรีเฟลกเตอร์ขนาดใหญ่พร้อมไฟตัดหมอกเพื่อการมองเห็นที่ ชัดเจน(บางรุ่นมีเบาะหนังแท้ และพวงมาลัยหุ้มหนังแท้)

อะไหล่
-ไม่แพงเลย ครับ ที่ไหนก็มีบางตัวแนะนำให้ใช้อะไหล่แท้นะครับเพื่อรักษาสมรรถนะและความ ปลอดภัยของรถไว้ อะไหล่บางตัวใช้ได้กับรุ่นที่ออกมาก่อนหน้า ประหยัดครับ

ราคา
- อยู่ระหว่าง 350,000 - 420,000 บาท ขึ้นอยู่กับปีรถ

สรุป หากต้องการซื้อรถกระบะที่คุ้มค่า คุ้มเงิน ก็ลองมองดูก่อนตัดสินใจ ไอ้ที่บอกปากต่อปากว่า ทน ทน มันอยู่ที่คนใช้ครับ ถ้าบำรุงรักษาไม่เป็นมันก็พังทุกยี่ห้อล่ะครับ ยี่ห้อที่บอกว่าประหยัดสุด ลองเหยียบสัก 140-160 ดูสิครับกินกว่ารุ่นอื่นๆอีกเพราะแรงมันน้อยเหยียบมากเครื่องพังเร็วอีก ผมว่าฟรอนเทียตัวที่คุณนั่งอ่านอยู่นี้ ราคาถูก ออฟชั่นครบ เครื่องทน คุณจะเอาอะไรอีก?

BMW SERIES-3 รถดีที่น่าใช้

ความเท่ห์ในงบ 30 หมื่น บวกลบ ที่พอจะนำมาบูรณะด้วยงบ 50,000 บาท แล้วใช้ต่ออีกหลายปี ใน แบบ Sport Sedan ที่ไม่ต้องเป็นรองใคร ด้านสมรรถนะ จัด เป้นรถญี่ปุ่น อยากลองมาแตะรถยุโรป BMW 318 I พูดถึงรถครอบครัวขนาด กลางของยุโรปแล้ว BMW SERIES-3 จะเป็น รถคันแถวหน้า ๆ ที่ต้องพูดถึงเสมอเพราะมีความเด่นในตัวเองมากกว่า รถ อื่น ๆ หลายด้าน อาทิ รูปทรงที่สวยบาดตา สมรรถนะ ที่ไม่เบื่อหน่าย ประสิทธิภาพ การทรงตัวที่ วางใจได้ และการขับขี่ที่ให้ความเพลิดเพลินเป็นอย่างดีกับ นักเดินทางคุณค่าของ BMW Series-3 นั้นถูก ยอมรับมา ตั้งแต่กำเนิดในทศวรรษที่ 60 ในรูทรงแรกภายใต้หมวดข้างเคียงของ BMW 2000 โดยทางบาวาเรียวางทรวดทรงใน แบบ 2 ประตู ซีดาน ภายใต้ ชื่อเรียกว่า 1602 และ 2000 นั้น สามารถเข้าต่อกรกับรถแรงอย่าง Alfa Romeo ที่จัด ว่าโด่งดังเป็นเจ้าถนน Sport Sedan ยุคนั้น เป็นอย่างมาก โดย 1602 และ 2000 สามารถตีกินด้วย คุณสมบัติที่ว่าเป็นรถเกาะถนนด้วยช่วงล่าง แบบอิสระ 4 ล้อขับหลัง
จากวันนั้นเป็นผลสูบต่อมายังรุ่นต่อมา เมื่อทางบาวา เรียเริ่มจริงจังกับรถระดับนี้ ได้กำหนดชื่อเรียกใหม่ว่า Series-3 ควบคู่กับ BMW 2000 ที่ใช้ระหัสว่า Series-5 ตั้งแต่ ต้นทศวรรษที่ 70 ส่วน Series-3 นั้น มาเริ่มเกือบกลาง ๆ ทศวรรษเดียวกัน
จากนั้นมาจนถึงปัจจุบัน 318 I กลายเป็นรุ่นที่ 4 ของ BMW หมวดนี้ โดย ปรากฏการณ์เปลี่ยนแปลงจาก Sedan 2 ประตูมา เพิ่มอีกแบบเป็น 4 ประตู ใน ลำดับที่ 3 ซึ่งปรากฏการณ์เปลี่ยนแปลงจาก Sedan 2 ประตูมาเพิ่มอีกแบบเป็น 4 ประตูในลำดับที่ 3 ซึ่งปรากฏผลสำเร็จ เนอย่างมาก สามารถขายถล่มทลายต่อเนื่องมาปัจจุบันจนการผลิต ใน Series นี้มากกว่ารุ่น 2 ประตูในระยะแรกเริ่ม
สำหรับ 318I คัน นี้เริ่มต้นในทศวรรษที่ 90 รวมระยะเวลาร่วม 10 ปี เต็มของรถรุ่นนี้สามารถทำตัว เป็นรถธงของค่าย BMW ตลอดมาทั่วโลกเป็นรถ ใฝ่ฝันของวัยจ๊าบจนถึงวัยปี้หรือจะเรียกว่ารถสำหรับคนหนุ่มสาวก็คงไม่ผิด เพราะรูปทรงเปรียวเปรี้ยวโฉบเฉี่ยวเป็นอย่างมากลงตัวทั้งทรวดทรงของ Aerodynamic รับ Ca -- 0.34 และลง ตัวกับห้องโดยสารแบบ 2 3 ที่นั่งที่สบายพอควร ต่อการโดยสารเดินทางไกลนาน ๆ ดดยมีจุดสะดวก 2 2 ที่นั่ง สำหรับการเดินทางเกิน 5 ชั่วโมงอย่างไม่อึดอัดเมื่อยล้ามาก จึงจัดเป็นรถครอบ ครัว ได้ดีคันหนึ่งหรือเป้นรถคนโสดที่มีชีวิตคล่องตัวกับเพื่นฝูง ที่ เกาะกลุ่มในบางโอกาสได้ดี แต่สภาวะขับคนเดียวนั่ง 2 คน ดูจะเหมาะกับการใช้งานแบบรถเบาแรงเพิ่มอัตราเร่งต่อการ คิดดวลความเร็วกับใครสักคน ย่อมดีกว่าการโหลดน้ำหนัก เพราะพลังแรงบิดของ 1.8 ลิตร นั้นไม่เหมาะกับการอัดยัด 4 คน เมื่อต้องการเพลิดเพลินกับความเร็ว 318I นั้นเป็น 1 ใน 4 ของหมวดพลังที่ Series-3 บรรจุมา ขายในเมืองไทย ซึ่งมีตั้งแต่ 1600 ใน รุ่น Compact 3 ประตู Lift-Back,1800 มาตรฐษน 2000 Sport และ 2500 Touring แต่ละขนาดเครื่องยนต์นั้นสร้างบุคลิกของรถแตก ต่างันไปอย่างรู้สึกได้อย่าง
-1600 Compact นั้นไม่แรงแต่ประหยัด เชื้อเพลิง จากขนาดกะทัดรัดของรถน้ำหนักเบา
- 1800 เหมาะกับการใช้งานผสมระหว่างค่าความประหยัด ลดลงหน่อย และแรงขึ้นสำหรับการเดินทาง
- 2000 เพื่อใครที่คิดวาอยากประลองตลอดเวลา
-2500เหมาะกับการเดินทางมากเพราะมีแรงบิดสำรองไว้แซงอย่างมั่นใจและขับทำความเร็วระดับ 140-160 กม/ชม. อย่างสม่ำเสมอแรงไม่ตก
เฉพาะ 318I นั้นจัดเป็นรถมาตรฐาน ของการใช้งาน รุ่นนี้จึงมี จำนวนมากสุดในตลาด จึงมีโอกาสเลือกโอกาสหาได้ง่ายกว่าอีก 3 รุ่น ทำให้ราคาค่าตัวของ 318 I นั้นค่อนข้างหวืดหวา ระดับใกล้ 40 หมื่นจนถึง 60 กว่าหมื่น แต่กลาง ๆ ที่ซื้อกันนั้นอยู่ที่ 50 หมื่นบวกขึ้นกับองค์ประกอบของ
-สภาพตัวถังเดิม ๆ สีเดิม ๆ ภายในไม่เละ
-สภาพเครื่องเดิม ๆ ไม่ทะลุ 120,000 กม. ไม่เยิ้ม ไม่ครางไม่สั่น
-สภาพช่วงล่างไม่โหลด ไม่หลวมไม่ดัง พราะแต่ละสภาพนั้นถ้าต้องนำมาเก็บงานแล้วเงบ ระดับ 15,000 ขึ้นไป ฉะนั้น เวลาจับต้องคำนึง 3 ส่วน นี้ เป็นหลัก อย่าให้ต้องเก็บงานทั้ง 3 ส่วน ขอแค่ 1-2 ส่วนก็หนักหนาแล้วปกติควรแค่อย่างใดอย่างหนึ่งก็พอจำได้ไม่เบื่ออย่าลืมว่า รถ BMW นั้นแทบทุกรุ่นที่ออก สู่ตลาดมือสองกว่า 60% จะเป็นรถที่เจ้าของเดิมเอา ไม่อยู่จึงยอมปล่อยออก เพราะผิดจาก BMW แล้วยากที่จับรถอื่น ๆ ได้สนิทใจจากเหตุผลของคุณสมบัติเหนือรถอื่นในระดับเดียวกันมากจุด ถ้า ใช้ดีจะไม่ปล่อยง่าย ๆ
-เวลา จับมาแล้วแทบทุกคันต้องลงทุนเก็บงาน 1 ใน 3 ของ สภาพดังกล่าวข้างต้น ฉะนั้นงบราว 40,000-60,000 บาท สำหรับ งานใหญ่ที่จะต้องทำ เพื่อใช้ดีไปหลายปีจึงควรทำ ห้ามเหนียว เด็ดขาดมิฉะนั้นจะใช้ได้อย่างเบื่อหน่าย ไม่สนุกเท่าความเท่ ของรถ
-การดูแลตัวถังนั้นต้องไม่ชนหนัก พวกกันชนหน้าหลังต้องไม่โป้วพ่นสีมาเป็นอย่างดี ไม่สาดสีทั้งคันเป็นดีที่สุด แต่ถ้าทำสีอย่างดีทั้งคันก็ไม่น่าจับว่าอุปกรณ์ภายในไม่หลุดไม่ หลุ่ยแผงหน้าปัดครบไม่แตกไม่ร้าว แผงประตูเรียบร้อย เบาะ ไม่ด่าง พรมไม่เละเป็นขรุ่ยละยอดเชียวละ
-สภาพเครรื่องยนต์เบาเรียบหลังเร่งความเร็วมา 120 กม./ชม. เข้าเกียร์ว่างที่ 750-900 รอบนิ่ง ไม่เบาะดับสั่น เพราะเครื่องนี้เป็นรุ่นใหม่ ทำงานค่อนข้างเรียบเงียบมาก จัดว่าเป็นเครื่องยนต์ที่มีขนาด กะทัดรัดดูแลง่ายไม่จุกจิก หากสภาพ 120,000 กม. จริงก็พออุ่นใจว่ามีสิทธิอีก 100,000 กม. แค่เปิดฝาบดวาล์วแค่นั้นก็พอ หรือทำการเปลี่ยนแหวนลูกสูบ ชุดชาท์ฟเกิน 200,000 กม.ก็ทนใช้ได้อีก 100,000 กม. แน่นอน
ทางด้านช่างล่าง นั้นขอให้รวมถึงเฟืองท้ายกับเบรกด้วย เพราะรุ่นนี้ใช้ระบบ ช่วงล่างค่อนข้างจะทันสมัยมีจุดยืนมาก ทำให้ค่าใช้จ่ายการ ซ่อมนั้นค่อนข้างมากตาม แต่เกาะถนนหายห่วงรถใหม่ ๆ ที่ ว่าเกาะแน่ ๆ บางยี่ห้อยังทิ้งโค้งสู้ 318I ไมได้ แต่ อย่างว่าระบบช่วงล่าง จึงเปลื่อยเร็วเป็นธรรมดาเพราะระดับ 50,000 กม. ก็ต้องเล่นชุดใหญ่กับช่วงหน้า และที่ 80,000 กม. ก็ชุดซ่อมช่วงล่างหลัง โดยมีจุดอ่อนที่พบบ่อยสุดคือเฟืองท้ายดังเก่ง โดยหา สาเหตุไม่พบ ฉะนั้นเวลาซื้อต้องตรวจสอบให้ดี เพราะ ค่าซ่อมเฟืองท้ายเข้าระดับ 15,000 บาท ทั้งนี้ไม่นับเกียร์ออโต้ ถ้ามีปัญหาก็ระดับ 60,000 บาทขึ้น แต่ในคันที่เป็น 5 เกียร์ ธรรมดาอุ่นใจได้ว่าไร้ปัญหาเพราะทนและค่าซ่อมถูก
โดย รวม ๆ แล้วการจับ BMW 318I นั้นให้เร่ม้นที่สภาพ ตัวถังสภาพภายในตามด้วยเกียร์ถ้าเป็นออโต้ แล้วค่อยมาช่วง ล่างจบที่ เครื่องยนต์จะดีมาก จึงต้องพิถี พิถันหน่อยเวลาจับเพราะพลาดพลั้งขึ้นมาได้ซ่อมจนเบื่อ หมด เงินพอจะซ้อรถเล็กญี่ปุ่นได้ 1 คันเชียวละ แต่ถ้าได้สภาพไม่ต้องซ่อม ก็จะใช้ 318I อย่าง ชนิดไม่อยากแตะรถอื่น ๆ ไปอีกนาน