วันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2554

SUZUKI CARIBIAN สำหรับผู้ชอบออฟโรดมือสอง


ออฟโรดขนาดเล็กที่ที่เข้ามาในทำตลาดในบ้านเราเมื่อปี 1990 รูปทรงเหมือนจี๊บ ขนาดเล็กๆราคาย่อมเยาแถมท้ายด้วยระบบขับสี่ล้ออันเป็นจุดขาย เอาไว้ลุยก็ได้ในเมืองก็ดี ทำให้ขายดีเทน้ำเทท่า สมัยนั้นใครขับแคริบเบียนนี่ถือว่าเท่ห์มากๆ

เจ้าตัวนี้มีชื่อเรียกเป็นทางการว่า SJ-413 เพราะด้วยความที่หน้าตารถเหมือนกับจี๊บทหารมาก เพียงแต่นำมาพัฒนาให้ย่อมลง เบาขึ้น ตั้งใจจับตลาดพวกoutdoor หรือไซต์งานต่างๆ ใช้ลุยได้ดีแบบจี๊บ แต่คล่องตัวกว่า ประหยัดน้ำมันกว่า สมัยแรกๆจึงลงเครื่อง 2 จังหวะ 3 สูบ  1 ลิตร พอขายดีก็ขยับเครื่องให้โตขึ้น

อันลักษณะของรถเข้าข่ายประเภทรถSUV ด้าน หน้าดูเรียบๆไฟดวงกลมข้างละคู่กระจังหน้าลายซี่นอนแปะคำว่าซูซูกิไว้ กันชนหน้าขนาดเล็กแต่แข็งแรงมาก มีไฟเลี้ยวติดตั้งอยู่ใต้ไฟหน้า ฝากระโปรงทรงคล้ายแลนโรเวอร์ดีเฟนเดอร์ ยกสันตรงกลางเล็กน้อย ด้านข้างเป็นทรงกล่องเรียบๆ เล่นสันข้างรถ ประตูข้างเป็นแบบบานพับข้างนอกทนทาน รุ่นแรกจะเป็นแวน กระจกช่วงแวนใหญ่มาก ขับแล้วรู้สึกโปร่ง ทำตลาดมาถึงปี96 ก็ถูกภาษีรถแวนเล่นงาน ต้องแปลงจากแวนเป็นกระบะมีแค็บเพื่อให้เสียภาษีถูก แต่แค็บไม่น่าจะเรียกว่าแค็บน่าจะเรียกว่า ‘แคบ’ มากกว่า เพราะมันไม่เหมาะจะเอาไว้นั่ง น่าจะเอาไว้เก็บของกันเปียกฝนมากกว่า เรียกชื่อรุ่นให้สวยหรูว่า sporty caribian ประมาณปี 2000 ก็เปลี่ยนกระจังหน้าใหม่ ทำตลาดจนถึงปัจจุบันในราคามือหนึ่งไม่ถึง 4 แสน

ภาย ในเรียบๆไม่หรูหรา พวงมาลัยสามก้านทรงเชยๆเป็นเอกลักษณ์ มาตรวัดสองวงแยกจากกัน ตรงกลางมีมาตรวัดความร้อนและเชื้อเพลิง ช่องแอร์วงกลมดูเข้ากันวางอยู่เป็นแนวบนคอนโซล เบาะนั่งหนังเทียมธรรมดาไม่นุ่มมาก ที่วางขาพอใช้ได้ ทัศนวิสัยดีทีเดียวเพราะตัวรถสูงกระจกบังลมก็ชัน

ข้อดีของเจ้าแคริบเบียนก็คือทนทาน แข็งแรงมาก เพราะใช้แชสซีส์แยกจากตัวถังรถเหมือนรถกระบะ ถึงแม้น้ำหนักรถจะไม่ถึง900โลก็ตามที แต่แค่แชสซีส์หนักไปเกือบครึ่ง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ไม่ค่อยจะมีให้ปวดหัวเวลาเสีย ประหยัดน้ำมันด้วยขนาดตัวรถที่เบา ใช้เครื่องแค่ 1.3 ลิตรตัวเดียวกับ swift สมัย ที่ผมใช้ผมเติมน้ำมัน 87 ได้อย่างสบายๆแต่ออกเทน 87 ไม่รู้หายไปไหนแล้ว อะไหล่หาง่ายมีครบราคาถูกพอๆกับโคโรล่า แต่บางชิ้นก็แพงกว่า โดยรวมอะไหล่มีครบเหลือเฟือ ทั้งของแท้ ของเทียม แถมสามารถดัดแปลงมาใส่ก็ได้ ของแต่งก็เพียบ


ข้อเสียคือเรื่องของสมรรถนะ ใช้เดินทางไกลๆ ทำความเร็วได้ไม่เกิน 120-130 เสียงเครื่องดัง เสียงลมก็ดัง ตัวรถโคลง เพราะรถมันสูง ถ้าแช่อยู่ในระดับ90-100 ก็ไปได้เรื่อยๆแถมประหยัดน้ำมันอีกต่างหาก ช่วงล่างเป็นแหนบเกาะถนนไม่ดีนักแถมกระด้างอีกต่างหากความนุ่มนวลสู้รถกระบะไม่ได้ เพราะเพลาขับแต่ละอันมีน้ำหนักมาก จึงต้องเอาช่วงล่างให้รับได้ จุดยึดของช่วงล่างมีน้อย รวมทั้งยางที่มีขนาด 195 SR15 เหล่านี้ทำให้หลายๆคนพากันขายเจ้าคาริบเบียนทิ้งเพราะทนความกระด้างไม่ไหว ช่วงล่างเป็นแหนบถ้าใช้นั่งกันบ่อยๆแนะนำหาโช๊คน้ำมันใส่ดีกว่า ถ้าใช้วิชามารเติมลมยางอ่อนลงด้วยความไม่รู้เรื่องรถมานัก ผลก็คือยางกินขอบนอกครับเปลืองยางเปล่าๆ พวงมาลัยหนักมือ เวลาเข้าที่จอดรถดิ้นกันแทบตาย โยกกันเหงื่อออกเลย ใช้ไปนานๆกระปุกพวงมาลัยก็หลวมเร็ว พวงมาลัยฟรีเยอะมาก แก้ปัญหาแต่เนิ่นๆด้วยการติดพาวเวอร์ลงไปชุดละประมาณเก้าพันช่วยได้ดี ระบบความปลอดภัยและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกไม่มีให้ใช้ตามประสารถประหยัดแต่ สามารถติดตั้งทีหลังได้

ปัญหาที่เคยพบได้แก่ เรื่องของเกียร์เข้าไม่ติด  กระปุกพวงมาลัยหลวมแถมรั่ว เปลี่ยนใหม่ราคาพันนึง ยางเปลี่ยนใหม่ที่50,000กิโลเมตร  ทัศนวิสัย ด้านหลังถูกบังจากยางอะไหล่ไปพอควร ด้านหน้าพวงมาลัยมันสะท้อนเงาลงบนมาตรวัด นอกนั้นไม่มีอะไรมาก แค่ดูแลบ่อยๆให้ถูกวิธี แค่นี้ก็ทนทานใช้กันลืม

สรุปถ้ากำลังมองหารถที่ประหยัดน้ำมัน คล่องตัว ทนทาน อะไหล่ครบ เล็กกระทัดรัด แต่งสวย และราคาไม่แพง  เจ้า ตัวนี้ก็น่าเป็นอีกทางเลือกนึงที่น่าสนใจ แถมพ่วงท้ายระบบขับสี่ล้อ แต่ต้องแลกกับตัวรถที่กระด้างสักหน่อยครับ ถ้ามีครอบครัวพร้อมตัวน้อย ไม่แนะนำให้ซื้อไปใช้แทนรถเก๋ง ถ้ามีคนร่วมทางเยอะเล่นตัวหลังคาไฟเบอร์ปี 96 จะดีกว่า แต่ถ้าใครเน้นขับแบบ 2 2 หรือเป็นรถคันที่สองอยากลองออฟโรด เล่นตัวกระบะก็ดูเท่ห์ดีครับ


ข้อมูลทางเทคนิคของซูซูกิ คาริบเบียน

เครื่องยนต์                     เบนซิน 4 สูบเรียง OHC 8V
ปริมาตรกระบอกสูบ          1,324 ซีซี
กระบอกสูบ/ช่วงชัก          74/77 มม.
อัตราส่วนกำลังอัด           8.9 : 1
แรงม้า                          70แรงม้า/5500รอบต่อนาที
แรงบิด                         107Nm/3500รอบต่อนาที
ระบบจ่ายน้ำมัน               คาร์บูเรเตอร์เดี่ยวท่อคู่
ระบบส่งกำลัง                 ขับเคลื่อน 4 ล้อ
ระบบกันสะเทือน             แหนบและคานแข็ง 4 ล้อ
ระบบเบรก หน้า/หลัง        พาวเวอร์ 2 วงจร ดิสก์/ดรัม
กว้าง-ยาว-สูง                1465-3455-1700
น้ำหนักรถ                     870 กก.
ขนาดยาง                     195x15
ความเร็วสูงสุด               135 กม/ชม
ความจุถังน้ำมัน              40 ลิตร
อัตราการกินน้ำมัน           7-12 โล/ลิตร
ราคาค่าตัวมือสอง           ประมาณ 90,000-170,000 (ขึ้นอยู่กับปีและสภาพ)


ข้อมูลทางเทคนิคของซูซูกิ สปอร์ตตี้ คาริบเบียน

เครื่องยนต์                         G13B เบนซิน OHC 8V 4สูบ
ปริมาตรกระบอกสูบ              1,298 ซีซี
อัตราส่วนกำลังอัด               9:1
แรงม้า                              69แรงม้า/6000รอบต่อนาที
แรงบิด                             105Nm/3500รอบต่อนาที
ระบบจ่ายน้ำมัน                  หัวฉีดsingle point
ระบบส่งกำลัง                    ขับเคลื่อน 4 ล้อ
ระบบกันสะเทือน                แหนบ โช้คอัพและคานแข็ง 4 ล้อ
ระบบเบรก หน้า/หลัง           พาวเวอร์ 2 วงจร ดิสก์/ดรัม
กว้าง-ยาว-สูง                   1460-4010-1770
น้ำหนักรถ                        975 กก.
ขนาดยาง                        195x15
ความเร็วสูงสุด                 135 กม/ชม
ความจุถังน้ำมัน                40 ลิตร
อัตราการกินน้ำมัน             7-12 โล/ลิตร
ราคาค่าตัวมือสอง            ประมาณ 190,000-250,000 (ขึ้นอยู่กับปีและสภาพ)

วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

รถใหญ่ๆในราคาเล็กๆ (สไตล์เกาหลี)


ฮุนได โซนาต้า  เปิดตัวครั้งแรกในปี 1989 และบุกตลาดเมืองไทยเกือบจะพร้อมๆกับเอกเซลในปี1991 นับเป็นรุ่นที่ใหญ่ที่สุดของฮุนได(ตอนนั้นยังไม่มีรุ่นXG350และ เซนเทนเนียล) ประสบความสำเร็จในไทยพอควรสำหรับรถแบรนด์ใหม่ จากนั้น 2 ปีในปี 93 ก็ได้โมเดลเชนจ์ใหม่ ลบเหลี่ยมสันดูปราดเปรียว เป็นรุ่นที่ประสบความสำเร็จมากเนื่องจากรถซีดานขนาดกลางแต่ขายในราคา โคโรล่า ซีวิค ได้ออพชั่น แถมได้ความกว้างขวาง สมรรถนะดีกว่า ยังไงๆก็ขายได้ถึงแม้หลายๆคนยังไม่ให้การยอมรับแบรนด์เกาหลีก็ตาม (สมัยนั้นเอสเปอร์โร่ก็ขาย 5-6 แสนเช่นกัน) พอยุคต่อมาฮุนไดก็เปิดตัวรุ่น facelift ของ โซนาต้า โดยที่แทบจำเค้าโครงเดิมไม่ได้ด้านหน้า ด้านท้าย ด้านในใหม่หมด แต่ใช้พื้นฐานรุ่นเก่า เปิดตัวประมาณปี 97 เรียกรุ่นนี้ว่ารุ่นไฟหยัก ,ไฟถั่ว ,ท้ายสามเหลี่ยมก็เป็นที่รู้กัน ทำตลาดมาเงียบๆอาศัยบุญเก่าของรุ่นพี่ที่เคยทำไว้ ประกอบกับปัญหาการบริหารของฮุนไดเกาหลี ก็ทำให้ฮุนไดในไทยเจ๊งไป แต่ในเมืองนอกปี 2000 ออกรุ่นโมเดลเชนจ์มา ไฟหน้าทรงรีดูน่ารัก เห็นนำเข้ามาอยู่บ้าง ต่อมารุ่น facelift ทำไฟหยักอีกแล้ว คราวนี้หยักมากขึ้นคล้ายๆเบนซ์ C-class แล้วก็ลดลงมาทำตลาดข้างล่าง เพราะมีรุ่นXG350เข้ามาประกบรถระดับสูงขึ้น

            สำหรับในไทยนั้นผมขอแนะนำรุ่นที่ขายดีที่สุดของโซนาต้า นั่นคือโซนาต้าปี93-96ตัวหน้าเทครับ แบ่งออกเป็น 2 รุ่นหลักๆคือ GLI และ GLSI ความแตกต่างของ GLI กับ GLSI ที่ตัวเครื่องยนต์ครับ Sonata รุ่นนี้มีเครื่องลงอยู่ 2 ตัว GLI 8 วาล์ว กับ GLSI 16 วาล์ว โดยเครื่อง 8 วาล์วจะได้เปรียบเรื่องความอึดของเครื่องยนต์และประหยัดกว่า 16 วาล์ว แต่ตัว 16 วาล์วจะได้เรื่อง พละกำลัง ชนิด อัตราเร่ง 0-100 ใน 9 วิ(ตามเสปกที่เคลมมาจากโรงงาน ในโหมด power ของเกียร์อัตโนมัติ) ส่วนเรื่องออพชั่นตัว GLSI จะมีแอร์แบคคนขับ เบาะหนัง ไฟตัดหมอก ส่วนเรื่องรายละเอียดต่างๆ เหมือนกันทั้งหมด  ในปี 95-96 จะมีรุ่นท็อปกว่าออกมาเรียกว่ารุ่น supreme ภายในเป็นเบาะหนัง และปรับไฟฟ้าได้เฉพาะด้านคนขับ มีพัดลมเป่าเท้า มี airbag  disc brake 4 ล้อพร้อมเอบีเอส ไฟตัดหมอก รูป ทรงภายนอกต่างจากรุ่นแรกพอสมควร ด้านหน้าลาดเอียงลงดูสปอร์ต ไฟหน้าสี่เหลี่ยมเฉียง กระจังหน้า 2 ชั้นตรงกลางมีตราฮุนไดติด ซึ่งไอ้กระจังหน้านี้มีแบบโครเมียมซี่ตั้งด้วย แต่ใส่แล้วผมว่าดูขัดๆตา กันชนหน้ายื่น มีช่องดักลมขนาดใหญ่ประกบด้วยไฟตัดหมอกทรงเฉี่ยว(เฉพาะรุ่น GLSI) ด้านข้างดูเป็นลิ่ม โค้งมน ไม่มีสันหรือว่าเส้นนำสายตาพาดอยู่ข้างตัวรกเลย ซึ่งลำบากเวลาช่างโป๊วสีรถ ถ้าฝืมือใครโป๊วไม่ดี มันจะเป็นลอนๆสังเกตง่าย ภายในกว้างขวางดีพอๆกับโคโรน่าท้ายโด่งเลยทีเดียว เสียงเครื่องยนต์รบกวนไม่มียกเว้นตอนกด เบาะหนังจะมีเฉพาะรุ่นท๊อป แอร์ลมเบาไปนิด ระบบแอร์ค่อนข้างเปราะ สามารถแปลงเป็นแอร์ญี่ปุ่นได้ เมื่อลองขับดู สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมประทับใจมาก คือสมรรถนะเนี่ยแหละครับ คือก่อนหน้าที่จะลองขับฮุนไดก็ คิดว่าสมรรถนะก็คงจะพอๆกับรถญี่ปุ่น แต่พอลองขับจริงแล้ว ตรงกันข้ามเลย ถึงแม้ตีนต้นจะสู้รถญี่ปุ่นไม่ได้ แต่ปลายนั้นขับเพลินๆดูไมล์ได้ 160 แน่ะ ไม่แน่ใจว่าไมล์มันอ่อนหรือว่าเราเท้าหนัก ช่วงล่างนิ่งทั้งโค้งและตรง การเร่งแซงนั้นต้องรอนิดนึง แต่ความเร็วปลายผมว่าสามารถถึง 180 ได้สบายๆ เบรคพอใช้ได้ พวงมาลัยสร้างความมั่นใจได้ดีกว่ารถญี่ปุ่นคันเล็กๆใหม่ๆซะอีก หลังจากลองอย่างไม่เกรงใจเจ้าของแล้ว ก็มาดูสภาพเครื่องกัน เครื่องตอนแรกที่เห็นนั้นตกใจ เพราะเหมือนกับ 4G ที่วางในกาแลนท์มาก สามารถเทียบอะไหล่ด้วยกันได้ (กระซิบนิดนึงว่าของฮุนไดถูกกว่า)

สเปกเครื่องมีดังนี้ครับ

Hyundai Sonata แบบ 4 DOORS
เครื่องยนต์แบบ 4สูบแถวเรียง DOHC 16 V.  ความจุกระบอกสูบ ซี.ซี. 1997  ความกว้างกระบอกสูบ X ระยะชัก 85.0 X 88.0 อัตราส่วนกำลังอัด 9.0 : 1 แรงม้าสูงสุด PS/RPM 139/5,800 แรงบิดสูงสุด KG-M/RPM 18.4/4,000  ระบบควบคุมและการจ่ายเชื้อเพลิง หัวฉีด ECI-MULTI ระบบจุดระเบิดแบบ อิเล็คทรอนิกส์ ขับเคลื่อน ล้อหน้า เกียร์อัตโนมัติ  4 SPEED ควบคุมด้วยอิเล็คทรินิกส์(SPORTและประหยัด)

ความยาว ม.ม 4,700  ความกว้าง ม.ม 1,770  ความสูง ม.ม 1,405 ความยาวฐานล้อหน้า/หลัง ม.ม 2,700 ความกว้างฐานล้อหน้า/หลัง ม.ม 1,515 / 1,500  น้ำหนักรถเปล่า ก.ก A/T 1,298 ระบบกันสะเทือนหน้า  อิสระแม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลงหลัง อิสระมัลติลิ้งค์ พร้อมเหล็กกันโคลง  ระบบเบรค 2 วงจรไข้ว พร้อมวาล์วปรับแรงดัน DPV เบรคหน้า/หลัง ดิสก์มีช่องระบายความร้อน / ดรัมเบรค ขนาดยาง 205/60R15

            ข้อ ดี ภายในกว้างขนาดเป็นรถลิมูซีนสนามบินได้เลย ออพชั่นมีมาให้แบบครบครัน ช่วงล่างดีทั้งย่านความเร็วต่ำและสูง เบรควางใจได้ มาตรฐานความปลอดภัยสูง กันชนหน้าเป็นสแตนเลสนะครับ ไม่ใช่โฟมแบบรถญี่ปุ่นรุ่นประหยัด

            ข้อเสีย กินน้ำมันไปหน่อยอันนี้แล้วแต่น้ำหนักเท้าด้วยครับ ในเมืองบริโภคประมาณ 7-9 กิโล นอกเมืองมี 12โล/ลิตร ให้เห็น แอร์เบาไปหน่อย ระบบแอร์เดิมๆเปราะไปนิด แหล่งอะไหล่มีน้อยกว่ารถญี่ปุ่นบางค่าย แต่หาได้ครบแน่นอน ถ้าอะไหล่แท้ราคาไม่หนี โคโรน่า มากนัก และถูกกว่า แอคคอร์ด อัลติม่า โครโนส ในบางชิ้นเสียอีก ปัญหาอีกจุดคือเรื่องสายพานราวลิ้น เจ้าsonata ตามคู่มือให้เปลี่ยนที่60,000km เจ้าของส่วนใหญ่ไม่ค่อยยอมเปลี่ยนตามเวลา ถ้าเข้าศูนย์ก็ราวๆ 10,000 อู่นอกราวๆ 5000 อีกจุดคือ ถ้าเปิดแอร์แล้วเครื่องสั่น ตัว idle speed control น่าจะไปแล้ว ปรกติอายุการใช้งานราวๆ 7ปี ถ้าราคาศูนย์ ราวๆ 7000 ของมือสอง 2500-3500 จุดบกพร่อง ที่เหลือก็ไม่มีอะไร

            สรุป รถรุ่นนี้ คันใหญ่ กว้างขวาง สมรรถนะดี ถึงแม้จะไม่ใช่รถตลาดแต่อะไหล่ยังมีครบ ราคาสมกับคุณภาพ ทางที่ดีควรรู้แหล่งอะไหล่ มีอู่ที่รู้ใจ ไม่อย่างงั้นจะเจอ ลูกมั่วช่าง อ้างว่าอะไหล่หายาก แพง แล้วบางทีเลยพาลไปหาว่ารถเค้าห่วย ส่วน เรื่องกินน้ำมันมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับเท้าซะส่วนใหญ่ ก็น่าเล่นพอสมควรสำหรับเจ้าตัวนี้ในงบ 1.8แสน-2.4แสน ในสภาพดีๆปี93-96 ถ้าเล่นรถญี่ปุ่นอาจจะได้แค่ปี 90-92 นะครับ

เปอร์โยต์ 505 รถคลาสสิค ที่น่าใช้


ในงบแสนต้นๆจะหารถขนาดใหญ่นั่ง 5 คนหลวมๆ วิ่งทางไกลดี แข็งแรง ทนทาน ปลอดภัย หลายๆคนก็จะมอง Benz W123, BMW E28, Volvo 740 แต่หลายๆคนมองข้ามรถคันใหญ่จากฝรั่งเศสคันนี้ไป เจ้าเปอร์โยต์ 505 รุ่นใหญ่สุดของเปอร์โยต์ในสมัยนั้น ทนทาน คันใหญ่ ไม่ให้เสียเวลา เราลองมาดูเจ้าตัวนี้กันว่าเป็นอย่างไร    
ในปี1978 เจ้า 604 ที่เริ่มจะเก่าไปแล้วต้องหยุดสายพานการผลิตไป ทำให้รุ่นใหญ่ของเปอร์โยต์ขาดช่วงไป ระหว่างที่รอรุ่น 605 ทางเปอร์โยต์ก็ได้พัฒนาเจ้า 504 ให้มาอุดช่องว่างระหว่างนี้ไปพลางๆเรียกรุ่นนี้ว่า 505 แต่ว่าเจ้า 504 เดิมมันก็ดีอยู่ในด้านของเทคโนโลยี เพราะฉะนั้นเทคโนโลยีของ 504 จึงได้นำลงมาใส่ใน 505 เกือบหมด ใครที่เคยเล่นหรือลอง 504 แล้วจะรู้ว่ามันดีขนาดไหน ทั้งดูแลรักษาง่าย อึด ทน ชนะการแข่งขันหลายรายการเลยทีเดียว จะว่าไปแล้วเจ้า 504 ก็เปรียบเหมือนโฟล์ค บีเทิลของเปอร์โยต์เลยทีเดียว รูป ทรงด้านหน้าเป็นเหลี่ยม ไฟหน้าทรงเหลี่ยมเชิดขึ้นเล็กน้อย กระจังหน้าสี่เหลี่ยมผืนผ้าลายตะแกรง กันชนเรียบๆฝังไฟหรี่และไฟเลี้ยวไว้ เปอร์โยต์ 505 แบ่งออกเป็น 3 ช่วงใหญ่ ในรุ่นแรกปี79 จะเป็นกันชนเล็ก กระจังหน้ายังมีลายไม่ชัดเจน เครื่องแบบ 504 เลยเปลี่ยนแต่เปลี่ยนคาร์บูจาก zenith ไปเป็น solex มี แรงม้า 96 แรงม้า เกียร์รุ่นแรกเป็นธรรมดา 4 สปีด จุดระเบิดด้วยทองขาว รุ่นต่อมา 5 สปีด ใช้ จุดระเบิดด้วยอีเล็กทรอนิค คอนโซลหน้า เรียบๆหน้าปัดไม่มีวัดรอบ เบาะผ้า/กำมะหยี่ ไฟท้ายตรงมุมเป็นไฟเลี้ยว ถัดมาเป็นไฟเบรกและข้างล่างไฟเบรกเป็นไฟถอยหลังรุ่นต่อมาก็แค่เปลี่ยนกันชน แบบรุ่นเทอร์โบมีชายล่างเป็นชิ้นเดียวกัน ไฟท้ายลดขนาดไฟถอยหลังให้เล็กลงกว่าเดิม ไฟท้ายลาดลงไม่ตั้งชันเหมือนรุ่นแรก จึงเรียกกันติดปากในหมู่นักเล่นเปอร์โยต์ว่ารุ่นไฟท้ายเอียง เครื่องยนต์และภายในเหมือนเดิม ส่วนรุ่นสุดท้ายปี86 จะเปลี่ยนคาร์บิว ท่อไอดี ฝาสูบใหม่ มีแรงม้า 108 แรงม้า พวงมาลัยพาวเวอร์ กระจกข้างแบบรุ่น 309 ภายนอกและภายในเปลี่ยนใหม่หมดดูล้ำสมัยมากจนรุ่นน้องอย่าง 405 ยังยืมรูปแบบคอนโซลไปใช้ ในปีแรกๆที่เปลี่ยนโฉมจะใส่ไฟท้ายและกรอบป้ายทะเบียนแบบ รุ่นไฟท้ายเอียง ปีต่อๆมาจะเปลี่ยนไฟท้ายแบบ 3 แถบ เครื่อง 2.0 ลิตรพร้อมพะตัว 2.0 เอาไว้ตรงบังโคลนด้วย นอกจากนี้ยังมีตัวV6ที่หาชม ยากมาก และรุ่นคูเป้/เปิดประทุนสำหรับตัวเมืองนอกด้วย แต่รุ่นที่ผมแนะนำเป็นรุ่น 505 2.0 รุ่นสุดท้ายปี 88-93ซึ่งเพียบไปด้วยเทคโนโลยีทนทานจาก 504 และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน ซึ่งหาไม่ได้จากรุ่นน้องอย่าง 405 GR ซึ่งมีราคาสูงกว่า


ภายนอกแตกต่างจากรุ่นก่อนๆตรงกระจังหน้ามีลายตะแกรงชัดเจน กันชนหน้าขนาดใหญ่มีชิ้นสปอยเลอร์ล่าง เหมือนรุ่นV6 คิ้ว กันกระแทกขนาดใหญ่รอบคันตามสมัยนิยม ไฟท้ายมี 3 แถบ บนสุดเป็นไฟเลี้ยว ตรงกลางเป็นไฟถอย ล่างสุดเป็นไฟเบรก ภายในเป็นเบาะผ้าแต่สามารถเลือกออพชั่นเป็นเบาะหนังได้ เกียร์ธรรมดา 5 สปีด ถ้าจะหาออโต้ก็คงจะเป็นปี 90-93 หรือไม่ก็รถนำเข้า คอนโซลหน้าเปลี่ยนไปมาก สวยจนลืมของเดิมไปได้เลย หน้าปัด 3 วงใหญ่ๆ วงซ้ายเป็นวัดรอบ ตรงกลางเป็นความเร็ว วงขวาเป็นมาตรวัดของเหลวต่างๆ ส่วน pictograph ก็อยู่ข้างบน 505ตัวเมืองนอกมีไฟบอกตำแหน่งเกียร์ออโต้ด้วย ล้ำสมัยมาก ที่วางขามีเหลือเฟือ กล้าพูดได้เลยว่ากว้างพอๆกันหรือมากกว่า W123 ด้วยซ้ำไปทั้งๆที่ขนาดฐานล้อเท่ากับ 504 เบาะตัวโตใช้ได้ นั่งสบายขับแล้วไม่เครียด
เมื่อ ลองขับดูแล้วรู้สึกถึงความนุ่มนวลดีถึงแม้ใช้เพลาลอยก็ตาม ตีนต้นไม่ดีนักเพราะแบกน้ำหนักตัวไว้มากใช้เครื่องแค่ 2.0 จึงไม่ได้แรงเท่าที่ควร ช่วงล่างนุ่มนวลไม่มีการเต้นของช่วงล่างเวลาขึ้น-ลงเนิน เกาะถนนระดับดีมากทีเดียว ถึงรถจะเก่าแล้วก็ตาม การเก็บเสียงในห้องโดยสารพอใช้ได้ เครื่องยนต์เดินเงียบมากเพราะมี silent shaft เหมือนกับกาแลนท์ ซิกม่า ตีนปลายวิ่งได้ถึง 150 แบบนิ่งๆได้อย่างสบายๆแต่ต้องรอนิดนึงครับ
 


สเปกเครื่องยนต์มีดังนี้ครับ
 
เครื่องยนต์ เรียง 4 สูบ, เบนซิน  : ระบบเพลาราวลิ้น OHV,โซ่ขับ : ปริมาตรความจุ(ซีซี) 1971 : ความกว้างกระบอกสูบXช่วงชัก(มม) 88x81 กำลังอัด 8.8 : 1  กำลังม้าสูงสุด/รอบ 100/5500  กำลังบิดสูงสุด/รอบ 16.4/3000  ระบบเชื้อเพลิง คาร์บูเรเตอร์เดี่ยว ,ท่อคู่ : ถังเชื้อเพลิงจุ (ลิตร) 70  ขับเคลื่อน ล้อหลัง อิสระ

อัตราทดเกียร์
รุ่น 4 เกียร์
1/3.704   2/2.153   3/1.410  4/1.000
รุ่น 5 เกียร์
1/3.592   2/2.088   3/1.366  4/1.000  5/0.823   ถอยหลัง 3.747
อัตราทดเฟืองท้าย 3.584 : 1  ระบบกันสะเทือนหน้า แมคเฟอร์สันสตรัท, คานปีกนก A-ARM ระบบกันสะเทือนหลัง คอยล์สปริง,คานอิสระ  เบรกหน้า ดิสก์  เบรกหลัง ดรัม

ขนาดตัวรถ
ช่วงล้อหน้าหลัง (มม) 2740  ความกว้างล้อหน้า (มม) 1460  ความกว้างล้อหลัง (มม) 1430 ความยาวตัวรถ(มม) 4580 ความกว้างตัวรถ(มม) 1720 ความสูงตัวรถ(มม) 1450 ใต้ท้องสูง (มม) 155 น้ำหนักรถ(กก) 1210 ขนาดวงล้อ (นิ้ว) 5.5 x 14 ขนาดยาง 185/70 x 14

สมรรถนะ
ความเร็วสูงสุด(กม/ชม) 170  อัตราเร่ง 0-100 (วินาที) 14.5  ความเร็วสูงสุดของเกียร์ (กม/ชม) 1/46 , 2/84 , 3/125 ,4/170 ความสิ้นเปลือง (กม/ลิตร) 6 – 11

จุดเด่น ของมันอยู่ที่ความแข็งแรง อึด ทนทาน ซ่อมง่ายพื้นฐานเครื่องยนต์ไม่ซับซ้อนมาก อู่ที่ซ่อมเปอร์โยต์ก็มีค่อนข้างเยอะมากสำหรับรถยุโรป อะไหล่ไปเดินที่วรจักรมีหลายร้าน ราคาไม่แพง เหมาะสำหรับครอบครัวที่งบน้อย
จุดด้อย อยู่ที่การกินน้ำมันของมันที่ค่อนข้างมากถ้าเอาแต่กดอย่างเดียว น้ำหนักตัวมากเครื่อง 108 ม้าพอใช้แค่ขับปกติในเมือง แต่ไม่ปรู้ดปร้าดสักเท่าไหร่ เดินทางไกลได้สบายๆ และด้วยขนาดตัวที่ยาวถึง 4.5 เมตร ทำให้การกะระยะหน้าหลังลำบากพอสมควร เจ้าของรถที่ผมขับเค้าเป็นคนตัวเล็ก สูงราวๆ165 ก็เลยแก้ปัญหาโดยการติดไฟมุมหน้ารถและติดสปอยเลอร์ท้ายก็ช่วยได้
จุด ที่เป็นปัญหาก็มีที่น้ำมันเกียร์ รถหลายคันผ่านการลุยน้ำมาแล้ว ให้ตรวจดูน้ำมันเกียร์ยังปกติดีอยู่หรือไม่ เพราะเกียร์รุ่นนี้มีรูระบายความร้อนที่เกียร์ จึงเป็นเหตุให้น้ำเข้าเกียร์ได้ เรื่องของช่วงล่างก็สำคัญดูการทรุดของแต่ละล้อต้องเท่ากัน ยังไม่เคยผ่านการเปลี่ยนเครื่องหรือทำสีเพราะระบบไฟอาจจะมั่วมา หลายๆคนที่คิดจะจับคันนี้เพื่อเอามาลงเครื่องใหม่ก็นับว่าคุ้มค่าเพราะได้ ความแข็งแรงแบบยุโรปแต่ประหยัดกว่าแรงกว่าเดิม แต่เสียดายเครื่องเก่า เสียรถด้วย หากคิดจะใช้แบบเดิมก็ยังพอมีรถบ้าง แนะนำปีสุดท้ายเข้าไว้ราคาไม่ต่างกันมาก ไม่น่าเกิน 1.2 แสนถ้าสภาพดีมากๆครับ

ขอบคุณ
ที่มาบทความ คุณ เทพเซฟิโร่ 
http://v2.one2car.com/Car2Care/read_dtl.aspx?Know_Car_Id=C120420462&Know_Topic_Id=1
ภาพจาก
http://www.unseencar.com/