รุ่น GL ใช้ เครื่องยนต์รหัส B 230 GS แบบเบนซิน 4 สูบเรียง วางตามยาว แคมชาฟต์เดี่ยว 8 วาล์ว จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดแอล-เอช เจทรอนิกส์ ความกว้างกระบอกสูบ 96 มิลลิเมตร ช่วงชัก 80 มิลลิเมตร ความจุ 2,317 ซีซี อัตราส่วนการอัด 9.3 : 1 กำลังสูงสุด 96 กิโลวัตต์ หรือ 130 แรงม้า (PS DIN) ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 18.9 กก.-ม. ที่ 2,950 รอบ/นาที เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ หรืออัตโนมัติ 4 จังหวะ เบาะผ้าปรับด้วยมือ
รุ่น GLT (รหัส ตัว T ไม่ใช่เทอร์โบแบบยี่ห้ออื่นๆ)ใช้เครื่องยนต์รหัส B 234 GS เสื้อสูบเดียวกัน แต่เปลี่ยนฝาสูบเป็นแบบทวินแคม 16 วาล์ว เพิ่มอัตราส่วนการอัดเป็น 10.0 : 1 ให้กำลังสูงสุดเพิ่มขึ้นเป็น 114 กิโลวัตต์ หรือ 155 แรงม้า (PS DIN) ที่ 5,700 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 20.7 กก.-ม. ที่ 4,450 รอบ/นาที มีเฉพาะเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ เบาหนังแท้ปรับด้วยไฟฟ้าพร้อมความจำ 3 ตำแหน่ง
ทั้งสองรุ่นใช้ ระบบบังคับเลี้ยวแบบแร็กแอนด์พิเนียนพร้อมเพาเวอร์ ระบบช่วงล่างหน้าแบบสปริงสตรัต ด้านหลังคานแข็งพร้อมระบบวอลโว่ เอ-ซับเฟรม ล้อแม็กขนาด 6 X 15 นิ้ว ยางขนาด 195/65R15 ระบบเบรกแบบดิสก์ 4 ล้อ มีเอบีเอส เฉพาะรุ่น GLT
จากนั้นในปี 1993 วอลโว่ได้ติดตั้งอุปกรณ์บำบัดไอเสีย แคตาลิติก คอนเวอร์เตอร์ และแลมดา ซอนด์ ให้กับ 940 ทุกรุ่น ช่วยให้การเผาไหม้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ลดมลพิษในไอเสีย โดยเครื่องยนต์ยังคงประสิทธิภาพเท่าเดิม เปลี่ยนรหัสเครื่องยนต์เป็น B 230 FS 2 (จากเดิม B 230 GS) มีแรงม้าและแรงบิดเท่าเดิม ที่รอบเครื่องยนต์เดิม ใช้กับรุ่น GL ที่ทำตลาดอยู่แล้ว และรุ่น GLE กับ ESTATE ที่เพิ่มขึ้นมาใหม่ เปิดตัวเพื่อแทรกระหว่าง GLT กับ GL ภายในตกแต่งด้วยหนังแท้ เบาะปรับไฟฟ้าพร้อมความจำ 3 ตำแหน่ง ส่วน ESTATE เน้นการใช้งานที่อเนกประสงค์ เบาะหลังสามารถพับได้ ช่วงล่างหลังเพิ่มระบบปรับระดับอัตโนมัติ ตามน้ำหนักบรรทุก ใช้ยางขนาด 195/65R15 ทุกรุ่นมีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะหรืออัตโนมัติ 4 จังหวะ ยกเว้น GLT และ ESTATE มีเฉพาะเกียร์อัตโนมัติ
GLT เปลี่ยนเครื่องยนต์เป็นรหัส B 230 FT เบนซิน 4 สูบ แคมชาฟต์เดี่ยว 8 วาล์ว เทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ อัตราส่วนการอัด 8.7 : 1 กำลังสูงสุด 136 กิโลวัตต์ หรือ 185 แรงม้า (PS DIN) ที่ 4,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 27 กก.-ม. ที่ 3,450 รอบ/นาที เปลี่ยนล้อแม็กเป็นขนาด 7 x 15 นิ้ว ยางขนาด 205/60R15 GL เปลี่ยนยางเป็นขนาด 195/60R15
ทั้ง 4 รุ่นทำตลาดต่อเนื่องมาอีกประมาณ 2 ปี ก็เพิ่มรุ่น SE ประมาณปี 1995 ใช้เครื่องยนต์รหัส B 230 FT 2 เทอร์โบบูสต์ต่ำหรือ LOW PRESSURE TURBO กำลังสูงสุด 99 กิโลวัตต์ หรือ 135 แรงม้า (PS DIN) ที่ 4,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 23.43 กก.-ม. ที่ 2,280 รอบ/นาที มีทั้งเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะหรืออัตโนมัติ 4 จังหวะ ภายในตกแต่งด้วยกำมะหยี่ เพิ่มความปลอดภัยด้วยแอร์แบ็กฝั่งผู้ขับ ประมาณกลางปี 1996 ก็เพิ่มรุ่น CLASSIC ใช้เครื่องยนต์บล็อกเดียวกับ SE ภายในมีให้เลือกทั้งเบาะผ้าหรือหนังแท้ ภายนอกเปลี่ยนล้อแม็กเป็นขนาด 6.5 x 16 นิ้ว ยางขนาด 205/55R16 จำหน่ายจนถึงช่วงปลายอายุตลาด
จุดเด่นของรถยนต์รุ่นนี้อยู่ที่ราคา มือสอง ซึ่งถูกกว่าคู่แข่งในระดับเดียวกันอย่างเบนซ์ อี-คลาส ดับเบิลยู124 และบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 5 อี34 เป็นแสนบาท ทั้งที่ตอนเป็นป้ายแดงก็มีราคาต่างกันไม่มาก ภายในกว้างขวางด้วยฐานล้อยาวและหลังคาทรงสูง ด้านหลังนั่งได้ 3 คนแบบหลวมๆ ช่วงล่างปานกลางเน้นความนุ่มนวล สอดคล้องกับเครื่องยนต์ที่ไม่จัดจ้านเหมาะสำหรับคนเท้าไม่หนัก ก่อนซื้อจึงควรทดลองขับนานๆ เพื่อดูว่าพอใจในสมรรถนะของเครื่องยนต์ ในด้านอัตราเร่งหรือไม่ เพราะถ้าซื้อมาแล้วจะเพิ่มกำลังภายหลัง ก็แทบจะไม่มีวิธีที่คุ้มค่าเลย แต่ถ้าเท้าขวาหนัก แนะนำให้เลือกรุ่นเทอร์โบ เกียร์อัตโนมัติ ปีใหม่สุดเท่าที่มีงบประมาณ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการกินน้ำมันมากนัก เพราะต่างกันไม่มากนัก ยังไงก็กินจุพอๆ กันทุกรุ่นเครื่องยนต์ โดยเฉพาะถ้าใช้งานวันละไม่กี่สิบกิโลเมตร และราคาก็ไม่ได้แพงกว่ารุ่นไม่มีเทอร์โบมากนัก
จุดด้อยของรุ่นนี้ อัตราการกินน้ำมันที่สูงราวๆ 5-6 กม./ล.ในเมือง นอกเมืองราวๆ 9 กม./ล. พละกำลังที่ได้มาไม่ค่อยสมกับน้ำมันที่กินไปสักเท่าไร รูปทรงเหลี่ยมๆที่ดู เหมาะกับคนมีอายุมากสักหน่อยแล้วแต่คนชอบ สมรรถนะด้านอัตราเร่งที่ไม่หวือหวา รวมทั้งราคาอะไหล่ที่อาจแพงในบางชิ้น แต่ก็มีครบ แหล่งอะไหล่มี 2 ทางเลือกหลัก คือ อะไหล่ใหม่จากศูนย์บริการ มั่นใจได้ในคุณภาพและมีการรับประกัน แต่ก็มีราคาแพง อีกทางเลือกที่คนส่วนใหญ่เลือก เพราะปัจจุบันรถยนต์รุ่นนี้ก็เก่าพอสมควรแล้ว จึงมักจะซ่อมตามอู่ทั่วไป คือ อะไหล่ใหม่นอกศูนย์ฯ ส่วนแหล่งใหญ่อยู่แถววรจักร มีครบ แต่แพงในบางชิ้น นอกนั้นก็กระจายไปทั่วกรุงเทพ เช่น สะพานควาย ส่วนอะไหล่มือสองหายาก การซ่อมบำรุง ถ้าไม่ใช่ระบบที่ซับซ้อน ก็สามารถใช้บริการตามอู่ทั่วไปได้ไม่จำเป็นต้องเข้าศูนย์ฯ หรืออู่วอลโว่โดยเฉพาะเสมอไป จะช่วยประหยัดเงินได้ เกียร์อัตโนมัติควรจะดูแลอย่างดี เวลาเลือกต้องทดสอบว่ายังทำงานได้ปกติ เพราะค่าซ่อมแพงมาก
สรุปคือ วอลโว่ 940 ราคาไม่แพง ภายในกว้างขวาง ทนทาน แข็งแรงดี ช่วงล่างพอใช้ได้ และเบรกดี อะไหล่มีครบ แต่แพงในบางชิ้น รูปลักษณ์ไม่โฉบเฉี่ยว สมรรถนะไม่อืด ถ้าเท้าไม่หนัก และชอบความหรูหราในราคาไม่แพง ก็พอซื้อได้ เพราะราคาไม่แพง ในรุ่นแรกๆ ปี 1991-1992 เริ่มต้นที่ 3 แสนกว่าบาทเท่านั้นเอง